Tag: อันตราย

  • รถหัดเดินสำหรับเด็ก จำเป็นหรือไม่

    รถหัดเดินสำหรับเด็ก จำเป็นหรือไม่

    การเดินถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของทารกและพ่อแม่เช่นกัน เนื่องจากเป็นการแสดงความเป็นอิสระ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่บางคนเชื่อว่าการใช้เครื่องช่วยเดินจะช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้น แต่จริงๆแล้วรถหัดเดินสำหรับลูกจำเป็นหรือไม่ สามารถช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้นจริงไหม วันนี้เราจะพามาหาคำตอบถึงข้อดี ข้อเสียและสิ่งที่ต้องระวังในการใช้รถหัดเดินค่ะ

    รถหัดเดิน สำหรับเด็กคืออะไร

    รถหัดเดินสำหรับเด็ก หรือ Baby Walkers คืออุปกรณ์ที่มีล้อเลื่อนที่ช่วยให้เด็กเล็กที่ยังไม่สามารถเดินได้สามารถวิ่งหรือเด็กไปรอบๆได้โดยการผลักด้วยเท้าเพิ่มความคล่องตัว โดยทั่วไปทารกส่วนใหญ่เรียนรู้ที่จะเกาะยืนเมื่ออายุ 9 เดือนและเด็กโดยทั่วไปจะเดินในช่วงอายุประมาณ 1 ปี อย่างไรก็ตามพัฒนาการของทารกทุกคนแตกต่างกันไปค่ะ

    รถหัดเดินสามารถช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้นจริงหรือไม่

    กระบวนการตามธรรมชาติมักสอนทารกถึงวิธีการทรงตัวเริ่มต้นตั้งแต่การตั้งศีรษะ การนั่ง คลาน ยืนหรือเดิน แต่รถหัดเดินจะทำให้เขาเอนไปข้างหน้าหรือข้างหลังจากสะโพกโดยไม่ต้องทรงตัวและช่วยป้องกันไม่ให้เขาล้มได้ ซึ่งการใช้รถหัดเดินไม่ช่วยให้เด็กๆเรียนรู้ที่จะปรับความสมดุลหรือเรียนรู้การทรงตัวค่ะ ดังนั้นเด็กต้องเรียนรู้ที่จะปรับสมดุลตัวเองใหม่อีกครั้งค่ะ

    ข้อดีของรถหัดเดิน

    • มีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจ รถหัดเดินที่ออกแบบมาสำหรับเด็กส่วนใหญ่มักจะติดตั้งของเล่นง่ายๆหรือเครื่องเล่นต่างๆเพื่อให้ทารกมีส่วนร่วม ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางจิตใจและกระตุ้นการมองเห็นด้วยค่ะ
    • กระตุ้นให้ทารกเดิน ช่วยให้ทารกเข้าใจว่าท่ายืนจะช่วยให้เดินได้อย่างไรและเขาจะพยายามก้าวไปด้วยตัวเอง
    • ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เด็กอายุระหว่าง 8 – 12 เดือนกระตือรือร้นที่จะสำรวจสภาพแวดล้อม รถหัดเดินสามารถให้ความคล่องตัว ช่วยให้เคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องให้ความช่วยเหลือใดๆค่ะ
    • อำนวยความสะดวกให้กับคุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมอื่นๆได้โดยไม่ต้องอุ้มลูกๆตลอดค่ะ

    ข้อเสียของรถหัดเดิน

    รถหัดเดินเด็ก หรือ Baby Walkers ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมใช้สำหรับเด็กๆวัยหัดเดินนอกจากจะมีข้อดีแล้วอาจเป็นอันตรายสำหรับเด็กๆได้เช่นกัน หากไม่ระมัดระวังในการใช้งานค่ะ เช่น อันตรายจากการสูญเสียการทรงตัว เนื่องจากการใช้รถหัดเดินเด็กๆสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระด้วยความเร็วและเด็กมักยังไม่เข้าใจเรื่องของการทรงตัวการระมัดระวังซึ่งเป็นอันตรายได้ค่ะ บางรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ เป็นต้น

    ข้อควรระวังในขณะที่ใช้รถหัดเดิน

    เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถหัดเดินของเด็กๆ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรระมัดระวังได้แก่

    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้รถหัดเดิน(Baby Walkers) บนพื้นผิวเรียบและสม่ำเสมอเท่านั้น
    • หลีกเลียงการใช้รถหัดเดินใกล้บันไดและสระน้ำ
    • ย้ายสิ่งของมีคมหรือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายให้พ้นมือเด็ก
    • การใช้รถหัดเดินคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด

    อย่างที่เราเห็นรถหัดเดินเด็กมีข้อดีข้อเสียในตัวเองและมักจะทำให้เกิดคำถามว่า การใช้รถหัดเดิน สำหรับเด็ก จำเป็นหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญและสิ่งที่ต้องคำนึงในฐานะพ่อแม่คือ การตรวจสอบให้แน่ใจว่าพัฒนาการของทารกจะไม่ถูก จำกัด เนื่องจากการใช้วัตถุดังกล่าวค่ะ

  • หูฟังปลอดภัยสำหรับเด็กไหม

    หูฟังปลอดภัยสำหรับเด็กไหม

    หูฟังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ในปัจจุบันเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่นิยมใช้ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูหนัง การโทรศัพท์ หรือการเล่นเกม แต่มันปลอดภัยจริงเหรอโดยเฉพาะเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการแผ่รังสีและผลข้างเคียงที่มีต่อความสามารถในการได้ยินและสมอง ดังนั้นเราจะมาหาคำตอบกันค่ะ

    เด็กๆสามารถใช้หูฟังได้หรือไม่

    ผู้ปกครองหรือพ่อแม่หลายท่านมักให้ลูกๆใช้โทรศัพท์มือถือร่วมกับการใช้หูฟังในการฟังเพลง ดูการ์ตูนหรือเล่นเกม ซึ่งเป็นหูฟังทั่วไปที่ผลิตมาสำหรับผู้ใหญ่ไม่ใช่หูฟังที่เหมาะสำหรับเด็ก ช่องหูของเด็กนั้นแคบกว่ามากและเสียงที่ดังมากอาจทำให้เกิดปัญหากับการได้ยิน อย่างไรก็ตามการใช้หูฟังเด็กๆสามารถใช้ได้ค่ะ แต่ควรเป็นหูฟังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเด็กด้วยเทคโนโลยีควบคุมระดับเสียงในตัว โดยรักษาระดับเสียงให้อยู่ในระดับเสียงไม่เกิน 60 เดซิเบล และไม่ควรให้ฟังนานติดต่อกันหลายชั่วโมงค่ะ

    ข้อเสียของการใช้หูฟัง

    การใช้หูฟังสำหรับเด็กสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรทราบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ อาทิเช่น

    • ส่งผลเสียต่อการได้ยินในระยะยาว ภาวะประสาทหูเสื่อม สูญเสียการได้ยิน ความบกพร่องทางการได้ยิน
    • ทำให้เกิดโรคเสียงอื้อในหู (Tinnitus)
    • การใช้หูฟังที่ใช้งานร่วมกันอาจติดเชื้อโรคบางชนิดได้ค่ะ
    • อุบัติเหตุจากการไม่ระมัดระวังน้อยลงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม เช่น ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ฯลฯ

    ทำไมต้องหูฟังสำหรับเด็ก

    หลายๆบ้านอาจมองว่าไม่จำเป็นต้องซื้อหูฟังสำหรับเด็ก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าหูฟังสำหรับเด็กมีข้อดีอย่างไร และนีคือเหตุผลที่ควรมีหูฟังให้ลูกค่ะ

    • หูฟังถูกออกแบบมาเพื่อเด็กย่อมพอดีหัวกว่าของผู้ใหญ่ สวมใส่ได้สบายกว่าค่ะ 
    • เพื่อเป็นการไม่ให้เสียงจากอุปกรณ์รบกวนคนรอบข้าง 
    • เพื่อให้ลูกฟังเสียงในระดับที่เหมาะสม ไม่ทำลายประสาทการได้ยิน

    การเลือกหูฟังสำหรับเด็ก

    การเลือกหูฟังสำหรับลูกๆของคุณและสิ่งที่ควรคำนึงถึงได้แก่

    • ขนาดหูฟัง ไม่แน่นหรือหลวมเกินไปและควรเป็นแบบครอบปิดหูจะดีกว่าค่ะ
    • ทนทาน ด้วยความซุกซนและไม่ระมัดระวังเด็กๆจึงมักจะทำลายสิ่งต่างๆโดยไม่ตั้งใจ
    • หูฟังที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก เนื่องจากมีด้วยเทคโนโลยีควบคุมระดับเสียงในตัว เพื่อให้ลูกฟังเสียงในระดับที่เหมาะสมค่ะ

    ข้อควรระวังในขณะที่ให้เด็กใช้หูฟัง

    ข้อควรระวังในการใช้หูฟังสำหรับเด็กๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้

    • ตรวจสอบระดับเสียงไม่ควรดังเกินไป เพราะอาจสิ่งผลให้เกิดปัญหาการได้ยินได้และเสี่ยงต่อความเสียหายร้ายแรงในระยะยาวค่ะ
    • ควรลดระดับเสียงเป็น 60% ของค่าสูงสุด เพราะการฟังในระดับเสียงที่สูงสามารถสร้างความเสียหายต่อการได้ยินค่ะ
    • จำกัดเวลาการใช้หูฟังไม่ควรนานติดต่อกัน 60 นาทีต่อวัน

    หูฟังปลอดภัยสำหรับเด็กไหม ก่อนอื่นต้องบอกว่าการใช้หูฟังที่ถูกต้องและปลอดภัยไม่ว่าจะวัยไหนๆ สิ่งสำคัญคือไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลาและไม่ควรใช้ระดับเสียงที่ดังเกินไปค่ะ เพราะอาจสิ่งผลในระยะยาวได้ค่ะ

  • Shaken baby syndrome อันตรายที่เกิดจากการเขย่าตัวเด็ก 

    Shaken baby syndrome อันตรายที่เกิดจากการเขย่าตัวเด็ก 

    Shaken Baby Syndrome เป็นการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงต่อศีรษะของเด็กทารกที่เกิดจากการเขย่าแรง ส่งผลให้เกิดความเสียหายของสมองถาวรและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ และโดยทั่วไปมักไม่แสดงอาการออกตามร่างกายค่ะ

    ภาวะ Shaken Baby Syndrome คืออะไร

    Shaken Baby Syndrome เป็นความเสียหายของสมองในทารกที่เกิดจากการบาดเจ็บของสมอง โดยการเขย่าหรือสั้นแรงๆ เนื่องจากทารกมีมีสมองที่อ่อนนุ่มและกล้ามเนื้อคอที่อ่อนแอมากเมื่อเขย่าแรงทำให้ศีรษะของทารกเคลื่อนไปมาอย่างรุนแรงการ ซึ่งกระตุกสมองภายในกะโหลกศีรษะทำให้มันกระเด้งกลับไปกลับมาส่งผลให้มีเลือดออกในสมอง สมองบวม จอประสาทตาและรวมถึงความเสียหายของกระสันหลังค่ะ ภาวะเหล่านี้มักพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

    อะไรคือสาเหตุของอาการบาดเจ็บที่สมอง

    ทารกมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่สมองเมื่อถูกเขย่าอย่างแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการ Shaken Baby Syndrome สิ่งนี้อาจทำให้น้ำตาในเนื้อเยื่อสมอง หลอดเลือดและเส้นประสาทสมองของเด็กปะทะกับกะโหลกศีรษะทำให้เลือดออกและอาการบวมในสมอง ในเด็กเล็กมีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บของสมองเมื่อถูกเขย่าหรือโยน นั่นเป็นเพราะว่ากะโหลกศีรษะ สมอง เส้นเลือด เส้นประสาทของเด็กแรกเกิดอ่อนมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดร่างกายกับศีรษะที่ใหญ่และมีน้ำหนัก รวมถึงกล้ามเนื้อคอที่อ่อนแอซึ่งยังไม่สามารถช่วยในการพยุงศีรษะไว้ได้ ดังนั้นเมื่อหัวถูกเขย่าแรงทำให้สมองกระทบกระเทือนเสียหายได้ค่ะ

    สัญญาณและอาการของภาวะ Shaken Baby Syndrome

    อาการแสดงอาจแตกต่างกันไปในทารกแต่ละคนตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุของทารก การใช้กำลังมากเท่าใด ถูกทำร้ายบ่อยเพียงใดและนานเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น อารมณ์หงุดหงิดและร้องไห้อย่างต่อเนื่อง ทารกอาเจียน มีภาวะขาดน้ำ เซื่องซึม ไม่ร่าเริง เป็นต้น และในบางรายไม่มีภาวะรุนแรงมักพบอาการต่างๆดังนี้ อาการชัก หายใจลำบาก ร่างกายของเด็กอาจอ่อนปวกเปียก หัวใจช้า เลือดออกจอประสาทตา และอาจมีอาการอื่นๆร่วมดัวย เช่น กระดูกหัก รอยฟกช้ำ ฯลฯ หากมีภาวะรุนแรงอาจทำให้สมองเสียหายถาวรและเสียชีวิตได้ค่ะ             

    ภาวะแทรกซ้อนและผลกระทบระยะยาว

    ภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของ Shaken Baby Syndrome สามารถก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงสำหรับทารกในระยะยาวได้เช่น

    • มีอาการชักและมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่สามารถพูดดูหรือโต้ตอบได้ตามปกติ
    • ตาบอดมีปัญหาในการมองเห็นหรือได้ยิน ไม่สามารถพูดหรือโต้ตอบกับคนอื่นได้ตามปกติตลอดชีวิต
    • ความพิการทางปัญญาที่สามารถส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิตเด็ก  
    • ความบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้
    • ปัญหาทางอารมณ์หรือพฤติกรรม
    • เด็กบางคนเสียชีวิตจากการบาดเจ็บ

    การป้องกัน Shaken Baby Syndrome

    การทำความเข้าใจสาเหตุสำคัญของ Shaken Baby Syndrome เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราสามารถป้องกันได้ค่ะ ภาวะ Shaken Baby Syndrome สามารถป้องกันได้เนื่องจากอาการนี้เกิดจาการเขย่าหรือโยนทารก ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ ไม่ควรการทำรุนแรงในทารกแรงเกิด เช่น การโยน การเขย่า การไกวไปมาแรงๆ เนื่องจากในบางรายกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเองค่ะ หรือในคนอาจเข้าใจว่าเมื่อเด็กร้องไห้การเขย่าจะช่วยให้สามารถหยุดร้องไห้ได้จึงใช้วิธีการเข่าตัวเด็กแรงๆ เป็นต้น และควรประคองศีรษะและต้นคอของเด็กเล็กไว้ เนื่องจากกล้ามเนื้อคอยังไม่แข็งแรงไม่สามารถรองรับหรือพยุงศีรษะของตัวเองไว้ได้ค่ะ

  • การห่อตัวทารก ห่ออย่างไรให้ปลอดภัย

    การห่อตัวทารก ห่ออย่างไรให้ปลอดภัย

    วิธีการห่อตัวทารก ห่ออย่างไรให้ปลอดภัย การห่อตัวเป็นเทคนิคในการปกป้องเด็กทารกแรกเกิดช่วยให้ลูกน้อยของคุณรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นค่ะ แต่หากห่อไม่ถูกต้องเหมาะสมอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ค่ะ และวันนี้เรามีวิธีและเคล็ดลับการห่อตัวลูกน้อยให้ปลอดภัยสบายตัวมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

    ทำไมต้องห่อตัวลูกน้อย

    การห่อตัวจะทำเพื่อปรับปรุงการนอนหลับของทารก เนื่องจากลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกจากที่เคยอยู่ในถุงน้ำคร่ำอบอุ่นในร่างกายของคุณแม่ออกมาสู่โลกกว้างใบใหม่ ด้วยอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วอาจสร้างความสับสน ความกังวลและความรู้สึกไม่ปล่อยภัยค่ะ การห่อตัวทารกจึงทำให้รู้สึกอบอุ่น หลับสบายมากขึ้น ช่วยให้ทารกนอนหลับอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยในช่วงเดือนแรก และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของทารก โรคไหลตายในทารก(SIDS) ซึ่งพบบ่อยในเด็กอายุ 2 – 4 เดือนค่ะ

    การห่อตัวทารก

    การห่อตัวลูกน้อยเป็นความรู้พื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่จะได้รับคำแนะนำจากพยาบาลก่อนกับบ้านค่ะ ซึ่งวิธีการห่อตัวทารกโดยทั่วไปมีด้วยกัน 3 แบบ ค่ะ ได้แก่ ห่อผ้าบริเวณตัวและปกคลุมส่วนศีรษะของทารกโดยเว้นบริเวณใบหน้าไว้ ห่อผ้าบริเวณตัวและคลุมถึงส่วนคอของทารก และห่อผ้าครึ่งตัวของทารก สิ่งสำหรับคือการเลือกผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศค่ะ การห่อผ้าบริเวณตัวคลุมถึงส่วนคอของทารกเป้นการห่อตัวทารกที่ได้รับความนิยมมาก ช่วยให้ลูกน้อยหลับสบายมากขึ้นค่ะ โดยมีวิธีการห่อตัวดังนี้

    • วางผ้าบนพื้นเรียบ พับส่วนปลายผ้าด้านบนเล็กน้อยและให้ลูกนอนหงายตรงกลางของผ้า
    • พับด้านหนึ่งสอดเข้าใต้ตัวของทารก จากนั้นในพับส่วนปลายเท้าขึ้นด้านบน
    • พับปลายส่วนที่เหลืออีกด้านให้อ้อมตัวลูกน้อยของคุณค่ะ
    วิธีการห่อตัวทารก

    ข้อควรระวัง

    มีข้อควรระวังเล็กน้อยที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังเมื่อห่อตัวลูกน้อย ได้แก่

    • การห่อตัวทารกไม่ควรให้นอนในท่านอนคว่ำ เพราะอาจทำให้หายใจไม่ออกได้ค่ะ
    • ผ้าที่ให้ห่อตัวทารกควรเลือกที่มีน้ำหนักเบาเหมาะสมกับสภาพอากาศค่ะ
    • ไม่ควรห่อหรือมัดแน่นจนเกินไป เพราะอาจทำให้ทารกรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวและหายใจไม่ออก
    • ไม่ควรห่อตัวในทารกมีปัญหาสุขภาพด้านหัวใจ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไหลตายได้ค่ะ

    การห่อตัวช่วยให้ลูกน้อยของคุณนอนหลับสบายมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกค่ะ ดังนั้นควรห่อตัวทารกที่ถูกต้องเหมาะสมรวมถึงต้องระมัดระวังในการห่อตัวค่ะ เพื่อให้หมั่นใจว่าลูกของคุณปลอดภัย อบอุ่นและหลับสบายค่ะ

  • ลูกไม่ดิ้น อันตรายที่แม่ต้องระวัง

    ลูกไม่ดิ้น อันตรายที่แม่ต้องระวัง

    หนึ่งในประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการตั้งครรภ์คือ การรู้สึกว่าลูกน้อยของคุณเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรก ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าลูกของคุณยังมีชีวิตอยู่และพัฒนาได้ดีค่ะ แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นลูกในท้องกลับดิ้นน้อยลง ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับคุณแม่หลายๆท่านโดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ ดังนั้นวันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับอัตราการดิ้นหรือการเคลื่อนไหวของลูกในครรภ์ รวมถึงการดิ้นแบบไหนที่เป็นอันตรายและควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

    การเคลื่อนไหวของทารกในระหว่างตั้งครรภ์

    คุณจะเริ่มรู้สึกการเคลื่อนไหวของทารกในเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์หรือสัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งในช่วงแรกลักษณะของเต้นตุ๊บๆ และจะเคลื่อนไหวมากขึ้นตามอายุครรภ์ค่ะ ได้แก่ อายุครรภ์ 20 สัปดาห์อัตราการดิ้นของลูกเฉลี่ยประมาณ 200 ครั้งต่อวัน และเมื่ออายุครรภ์ได้ 30 – 32 สัปดาห์อัตราการดิ้นของลูกน้อยอาจสูงถึง 375-700 ครั้งต่อวันค่ะ 

    ลูกดิ้นแบบไหนถือว่าผิดปกติ 

    การดิ้นของลูกจะเพิ่มขึ้นและแรงขึ้นตามอายุครรภ์ค่ะ เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นและพื้นที่ในท้องน้อยลงทำให้คุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นแรงขึ้นและอาจสร้างความกังวลหรือข้อสงสัยว่าลูกดิ้นแบบนี้ผิดปกติไหม หากลูกดิ้นแรงเป็นปกติต่อเนื่องไปจนถึงใกล้คลอดเป็นเรื่องปกติค่ะไม่ต้องกังวลใดๆค่ะ แต่ถ้าหากพบว่าลูกดิ้นแรงมากจากนั้นลูกไม่ดิ้นอีกเลยหรือไม่มีแม่แต่เต้นตุ๊บๆ โดยเฉพาะใกล้คลอดควรไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

    สาเหตุที่ทำให้การเคลื่อนไหวของลูกในครรภ์น้อยลง

    ความถี่ของการเคลื่อนไหวของทารกอาจขึ้นอยู่กับน้ำคร่ำในตัวของคุณ พื้นที่ในท้องหรือเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคุณ แต่อาจมีเหตุผลอื่นด้วยได้แก่

    • เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 การนอนหลับของลูกน้อยในครรภ์อาจส่งผลให้การขยับตัวอาจจะ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงต่อครั้งค่ะ
    • เมื่อคุณเข้าสู่การตั้งครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ทารกอาจเข้าอุ้มกระดูกเชิงกรานและเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด และหากโพรงมดลูกของคุณแม่แคบจนลูกน้อยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ
    • อายุครรภ์มากหรือเกินกำหนด ทำให้รกเสื่อมสภาพส่งผลให้ปริมาณอาหารและออกซิเจนที่ส่งผ่านรกไปยังลูกน้อยลดน้อยลง ซึ่งภาวะรกเสื่อมสภาพมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตในครรภ์ได้ค่ะ

    ทารกแต่ละคนเติบโตขึ้นและเคลื่อนไหวตามจังหวะของตนเองตามปัจจัยต่างๆค่ะ ดังนั้นการติดตามความเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ หากคุณแม่มีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติของการดิ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ 

  • 14 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัส RSV

    14 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไวรัส RSV

    สวัสดีค่ะ บทความนี้รวบรวมคำถามที่น่าสนใจที่ที่มักถามกันบ่อยๆ เกี่ยวกับไวรัส RSV ที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนสงสัยมาฝากค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามารู้จักกับไวัสรัสชนิดนี้ในเบื้องต้นกันก่อนค่ะ ไวรัส RSV คือเขื้อไวรัสที่ก่อให้โรคในระบบทางเดินหายใจ เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายในเด็กเล็กและสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้ ไม่มียารักษาและวัคซีนในการป้องกัน โดยอาการเบื้องต้นจะคล้ายไข้หวัดทั่วไป ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองต้องสังเกตอาการลูกน้อย หากสงสัยควรพบแพทย์ทันทีค่ะ

    1. RSV คืออะไร
    RSV หรือ Respiratory syncytial virus เป็นเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้บ่อยและเจริญเติบโตได้ดีช่วงที่มีอากาศชื้น โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาวและมีอาการคล้ายกับไข้หวัดแต่มีความรุนแรงกว่ามากค่ะ

    2. ไวรัส rsv อันตรายไหม
    การติดเชื้อไวรัส rsv นั้น อันตรายถึงขึ้นเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากเชื้อไวรัสส่งผลต่อปอดและทางเดินหายใจค่ะ

    3. เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV มีอาการอย่างไร
    ในช่วงแรกจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถหายได้เอง หลังจากมีการติดเชื้ออาร์เอสวีมักจะมีอาการ ดังนี้ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียล ไอต่อเนื่องรุนแรง หายใจหอบเหนื่อย แรงจนอกบุ๋ม มีเสียงหวีด มีเสมหะเหนียวข้น เด็กมีอาการซึม เป็นต้น ซึ่งควรรีบพบแพทย์ทันที

    4. ไวรัส RSV มีระยะฟักตัวกี่วัน
    ไวรัสอาร์เอสวีมีระยะฟักตัว 2-8 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส

    5. การตรวจหาเชื้อ RSV ทำได้อย่างไร
    การตรวจหาเชื้อ RSV ในเบื้องต้น โดยการป้ายสารคัดหลั่งน้ำมูกในจมูก เหมือนการตรวจไข้หวัดใหญ่ทั่วไป การใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอด หรือเสียงที่ผิดปกติจากส่วนอื่นๆในร่างกาย การตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อตรวจหาไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เป็นต้น

    6. การรักษาผู้ป่วยทางเดินหายใจจากเชื้ออาร์เอสวีทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มียาสำหรับการรักษาเชื้อไวรัสนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ยากลดไข้ ยาสำหรับขยายหลอดลมเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น เป็นต้น

    7. การติดต่อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างไร
    โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นาน 3-8 วัน จากการไอหรือจาม และจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง ติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย ฯลฯ โดยไวัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก

    8. ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัส RSV มีอะไรบ้าง
    การติดเชื้อไวรัส RSV อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นได้ เช่น โรคปวดบวมหรือภาวะปอดอักเสบซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาวะติดเชื้อในหูส่วนกลางซึ่งเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในทารกและเด็กเล็ก โรคหอบหืด การติดเชื้อไวรัส RSV อย่างรุนแรงในเด็กอาจทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้ในเวลาต่อมา

    9. RSV สามารถเป็นซ้ำได้หรือไม่
    ไวรัส RSV สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ค่ะ หากร่างกายอ่อนแอโดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส

    10. หากติดเชื้อ RSV จะป่วยนานแค่ไหน
    ระยะเวลานั้นขึ้นกับว่าความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยทั่วไปหากป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดามักหายได้เองภายใน 4 – 7 วัน แต่ถ้าหากติดเชื้อถึงทางเดินหายในส่วนล่าง ซึ่งมักส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ มีเสมหะ เป็นต้น ซึ่งต้องรับการรักษาดูแลที่โรงพยาบาลในบางรายจำเป็นต้องได้รับการเคาะปอด ดูดเสมหะ เป็นระยะเวลานานถึง 2-3 สัปดาห์ค่ะ

    11. ใครสามารถป่วยจากการติดเชื้อไวรัส RSV บ้าง
    โรคทางเดินหายใจจากการติดเชื้ออาร์เอสวีนี้ สามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่พบบ่อยและอาการมักรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    12. ไวรัส RSV ส่งผลเสียอย่างไร
    RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ อาจส่งผลเสียได้คือ อาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบจากการติเชื้อ ซึ่งต้องรักษาในห้องไอซียูและในบางรายอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลวได้ค่ะ

    13. วิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ควรป้องกันการแพร่กระจายและลดปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อได้ดังนี้

      • ทุกคนในบ้านควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ เพราะการล้างมื้อช่วยลดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่ติดมากับมือ
      • หลีกเลี่ยงการไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีแพร่ระบาดของเชื้อต่างๆ
      • หลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กเล็ก
      • ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นลูกเป็นประจำ
      • รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำสะอาดมากๆและพักผ่อนให้เพียงพอ

    14. วิธีการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทำอย่างไร
    เนื่องจากไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสอาร์และยาสำหรับรักษาโดยเฉพาะ ดังนั้นควรลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังนี้

      • ควรปิดจมูกและปากเมื่อไอหรือจามทุกครั้ง
      • หากมีความจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้ออื่นๆเข้าสู่ร่างกาย
      • หากลูกป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดีค่ะ
      • หากพบว่าลูกป่วยควรแยกออกจากเด็กคนอื่น รวมถึงแยกสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  • การเดินละเมอในเด็ก

    การเดินละเมอในเด็ก

    สวัสดค่ะ คุณพ่อคุณแม่ลูกของคุณมีอาการละเมอบ้างหรือเปล่าคะ ถ้ามีและเราจะมีวิธีรับมือกับอาการละเมอของลูกๆอย่างไร วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการละเมอในเด็กเกิดขึ้นบ่อยในช่วงอายุ 4 – 8 ปีมากกว่าในผู้ใหญ่ค่ะ ซึ่งอาการละเมอนั้นเป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นในขณะที่ลูกของคุณกำลังหลับ โดยผู้ที่มีอาการจะไม่รู้สึกตัวและมีอาการมึนงงหลังรู้สึกตัวค่ะ ซึ่งจะแสดงในรูปแบบต่างๆ เช่น ละเมอเดินไปมา ลุกขึ้นนั่งลืมตา ละเมอพูดคุย หยิบสิ่งของต่างๆ ฯลฯ การนอนหลับทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหลับตื้นและช่วงหลับลึกค่ะ และพฤติกรรมการละเมอที่เกิดขึ้นจะอยู่ในช่วงที่หลับลึก ผู้ที่มีอาการละเมอจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้เมื่อตื่นขึ้นมา โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุ ถ้าเด็กประสบปัญหาอาการนอนไม่หลับหรือเหนื่อยล้า โอกาสของเด็กคนนั้นที่มีตอนเดินละเมอมีแนวโน้มมากกว่าปกติค่ะ

    สาเหตุของการเดินละเมอในเด็ก อาจมากจากปัจจัยเหล่านี้ เช่น

    • กรรมพันธุ์ พบว่าการเดินละเมอในครอบครัวที่มีประวัติการละเมอบ่อยครั้ง โดยเฉพาะพ่อและแม่ที่นอนละเมอ ทำให้ลูกมีโอกาสนอนละเอมเช่นกันค่ะ
    • การอดนอน นอนไม่หลับ หรือถูกรบกวนการนอนหลับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเดินละเมอ
    • รูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจในระหว่างนอนหลับ ผลกระทบหยุดหายใจระยะเวลาสั้นๆในช่วงกลางคืน
    • การใช้สารหรือยาบางชนิด ที่ส่งผลต่อการนอนหลับของเด็ก
    • ความวิตกกังวล ความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ
    • มีประวัติอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
    • ร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข เช่น ขาอยู่ไม่สุขเป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอาจเป็นสาเหตุของการเดินละเมอ

    อาการของการเดินละเมอ

    ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่าละเมอเดินสิ่งแรกที่คิดคือการเดินระหว่างการนอนหลับ อย่างไรก็ตามการเดินในขณะนอนหลับไม่ได้เป็นสัญญาณเดียวของความผิดปกตินี้ อาการแสดงของการละเมอที่เป็นสัญญาณที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก ได้แก่ นั่งขึ้นและมองไปรอบๆ พูดคุยขณะนอนหลับ แต่ไม่ตอบสนองเมื่อคุณคุยด้วย ร้องไห้ขณะหลับ หรือเดินไปเดินมารอบๆ มีพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น การเปิดหน้าต่างหรือประตูและปิด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดซ้ำๆ เป็นต้น

    การรักษาสำหรับการเดินละเมอในเด็ก โดยทั่วไปจะหายได้เองเมื่อโตขึ้นค่ะ แต่ในบางกรณีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเดินละเมอ คือยาบางชนิดควรปรึกษาแพทย์สำหรับการใช้ยานั้นๆเพื่อเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นทดแทนได้หรือไม่ค่ะ

    การป้องกันการเดินละเมอในเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินละเมอของเด็ก เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาระยะเวลาการนอนหลับหรือเวลาเข้านอนอย่างสม่ำเสมอ สร้างบรรยากาศในห้องนอนเย็นสบายและปลอดภัย จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นค่ะ หลีกเลี่ยงเสียงรบกวนหรือสิ่งรบกวนอื่นๆ ในตอนกลางคืนเมื่อเด็กหลับ เป็นต้น

    การเดินละเมอเป็นความผิดปกติที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และเพื่อความปลอดภัยของลูกคุณควรหมั่นสังเกตุพฤติกรรมและจดบันทึกอาการของลูกเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ