Tag: สุขภาพเด็ก

  • อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษในเด็ก สิ่งที่คุณแม่ต้องรู้

    อาหารเป็นพิษเป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยเด็กและผู้ใหญ่ แม้ในบางครั้งเด็กและผู้ใหญ่รับประทานอาหารแบบเดียวกัน แต่กลับพบว่าเด็กเกิดอาการอาหารเป็นพิษเท่านั้น เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียไม่เท่าผู้ใหญ่นั้นเองค่ะ ดังนั้นอาหารเป็นพิษจึงเป็นสิ่งที่คุณแม่ควรรู้ เพื่อป้องกันและการดูแลรักษาที่ถูกวิธีค่ะ

    อาหารเป็นพิษคืออะไร

    อาหารเป็นพิษคือกลุ่มอาการที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย ในบางครั้งอาจเกิดจากเชื้อไวรัสหรือปรสิต ที่มีการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมีโอกาสสูงกว่าในช่วงวัยอื่น เนื่องจากเด็กในช่วงวัยนี้ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงมากพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆเท่ากับช่วงวัยอื่นๆ และมักจะมีอาการรุนแรงกว่าเช่นกันค่ะ

    สาเหตุของอาหารเป็นพิษ

    อาหารเป็นพิษเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียหรือปรสิตในอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งสามารถปนเปื้อนเชื้อต่างได้ตั้งแต่ระหว่างการเตรียมอาหาร การเก็บรักษา การขนส่งอาหารที่ผ่านการปรุงไม่ถูกวิธีสุอนามัย รวมถึงภาชนะเครื่องใช้ที่มีการปนเปื้อนค่ะ  ซึ่งเชื้อที่มักเป็นสาเหตุของภาวะอาหารเป็นพิษ เช่น ซาลโมเนลลา พบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คลอสติเดียม โบทูลินัม มักพบในอาหารที่บรรจุในภาชนะปิดสนิท โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น หน่อไม้ดอง เนื้อสัตว์แปรรูป ฯลฯ หรือชิเกลล่า พบการปนเปื้อนทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสด น้ำดื่มที่ไม่สะอาด เป็นต้น

    อาการอาหารเป็นพิษในเด็ก

    โดยปกติอาการมักจะเกิดขึ้น 30 นาทีถึง 24 ชั่วโมงหลังจากกินอาหารนั้นเข้าไป ซึ่งมักแสดงอาการทั่วไปได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและตะคริว ท้องร่วง อาการปวดหัว มีไข้ เป็นต้น อาการที่เกิดจากอาหารเป็นพิษนั้นรุนแรงในเล็กมากกว่าเด็กโตและวัยรุ่นค่ะ

    การรักษาอาหารเป็นพิษ

    อาหารเป็นพิษส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและจะดีขึ้นโดยไม่ต้องรักษา คุณแม่สามารถดูแลได้เองที่บ้าน ได้แก่

    • ควรให้ลูกดื่มน้ำสะอาดผสมผงเกลือแร่ด้วยการจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์นมจนกว่าอาการท้องร่วงจะหยุด
    • เมื่อลูกรู้สึกหิวให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย อาจแบ่งเป็นมื้อเล็กๆแต่สามารถรับประทานได้บ่อย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด น้ำอัดลม ฯลฯ
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
    • หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานยาแก้ท้องเสีย ยาต้านอาการท้องร่วงอาจทำให้อาการนานขึ้นและผลข้างเคียงสำหรับเด็กอาจรุนแรง

    หากพบว่าลูกมีอาการรุนแรงหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วยควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่

    • อาเจียนนานกว่า 12 ชั่วโมง
    • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียล
    • หัวใจเต้นแรง ปัญหาการหายใจ
    • อาการปวดท้องอย่างรุนแรงหลังจากอุจจาระแล้ว
    • อุจจาระเปื้อนเลือดหรืออาเจียนเป็นเลือด
    • ตามัวหรือมองเห็นไม่ชัด
    • ภาวะร่างกายขาดน้ำ ได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย เวียนหัว ปากแห้ง กระหายน้ำมาก เป็นต้น
    • ฯลฯ

    การป้องกันอาหารเป็นพิษ

    ขั้นตอนในการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ควรทำตามหลักปฏิบัติดังนี้

    • ควรสอนให้ลูกล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
    • ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่ หรือผ่านความร้อนเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหาร
    • ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่เตรียมอาหารอยู่เสมอ
    • ปรุงอาหารหรือเก็บอาหารให้ถูกสุขอนามัย  เช่น แยกเก็บเนื้อสดออกจากอาหารชนิดอื่นๆ เป็นต้น
    • ตรวจสอบการใช้งานหรือวันที่บนบรรจุภัณฑ์ก่อนรับประทาน

    อาการอาหารเป็นพิษในเด็กไม่เกิดอาการที่ไม่รุนแรงได้ ถ้าคุณแม่สามารถรับมือและดูแลภาวะอาหารเป็นพิษที่ที่ถูกต้องได้ค่ะ และหากพบอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันทีนะคะ

  • โรคซึมเศร้าในเด็ก

    โรคซึมเศร้าในเด็ก

    โรคซึมเศร้าในเด็ก

    อาการซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอัตราภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กเพิ่มมากขึ้น และหลายคนอาจสงสัยว่าเด็กๆจะซึมเศร้าได้หรือไม่ เนื่องจากหลายท่านยังคงเชื่อว่าเด็กจะไม่รู้สึกโศกเศร้าหรือหดหู่เพราะพวกเขายังเด็กมาก ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจ และตระหนักถึงภาวะซึมเศร้าในเด็กที่อาจขึ้นกับลูกของคุณค่ะ

    เด็กๆประสบกับภาวะซึมเศร้าได้หรือไม่

    ภาวะซึมเศร้าในเด็ก (Depression) เป็นความเข้าใจผิดที่ผู้ใหญ่หลายท่านเข้าใจว่า เด็กๆไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าได้เพียงเพราะอายุ ความจริงแล้วภาวะซึมเศร้าในเด็กนั้นเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่คุณคิด โดยพฤติกรรมของเด็กที่ซึมเศร้าอาจแตกต่างจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่มีภาวะซึมเศร้าค่ะ ภาวะซึมเศร้าอาจอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงและมีอาการเฉพาะบางอย่าง ภาวะซึมเศร้าในเด็กสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

    1. ภาวะซึมเศร้าดิสทีเมีย ดีเพรสชั่น (Dysthymia Depression) เป็นประเภทของภาวะซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงน้อยแต่มีแนวโน้มที่จะเรื้อรังนานกว่า 2 ปี
    2. ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ความผิดปกติทางอารมณ์จากฤดูที่เปลี่ยนแปลง และมักเกิดขึ้นกับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตหนาว เนื่องจากกลางวันสั้นลง กลางคืนยาวนานทำให้คนซึมเศร้า จิตตก รู้สึกเฉื่อยชามากขึ้น
    3. ภาวะซึมเศร้าแบบสองขั้ว (Bipolar depression) ลูกของคุณมีแนวโน้มที่อารมณ์ขึ้นและลง บางรายจะมีอารมณ์ซึมเศร้าสลับกับอาการลิงโลด โดยเป็นอารมณ์ที่ต่างขั้วกัน
    4. ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (Adjustment disorder) เป็นภาวะความกดดันก่อให้เกิดความเครียด จนไม่สามารถปรับตัวได้ เช่น การเสียชีวิตของผู้ใกล้ชิด เป็นต้น

    สาเหตุของอาการซึมเศร้าในเด็ก

    อาการซึมเศร้าในเด็กไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ อาจเป็นผลกระทบมาจากปัจจัยต่างๆประกอบกัน เช่น สุขภาพร่างกาย ประวัติครอบครัวภาวะซึมเศร้า ความเจ็บป่วยทางจิต ความอ่อนแอทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และความไม่สมดุลทางชีวเคมี เป็นต้น ทางการแพทย์เชื่อว่าภาวะซึมเศร้าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง

    สัญญาณและอาการซึมเศร้าในเด็ก

    อาการของภาวะซึมเศร้าสามารถอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ หลายเดือนและหลายปีหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อชีวิตประจำวันของลูกรวมถึงกิจกรรมที่โรงเรียน อาการของภาวะซึมเศร้านอกเหนือจากความหงุดหงิดแล้ว ถ้าลูกของคุณแสดงอาการต่อไปนี้ลูกของคุณประสบกับปัญหาภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ

    • โศกเศร้าบ่อยครั้ง น้ำตาไหล ร้องไห้บ่อย
    • รู้สึกหงุดหงิด และอารมณ์โกรธ
    • อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย
    • ขาดสมาธิ ปัญหาด้านการเรียนรู้
    • รู้สึกผิด ความนับถือตนเองต่ำ
    • ความโดดเดี่ยวทางสังคมการสื่อสารไม่ดี
    • ทำตัวห่างไกลจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและชอบอยู่คนเดียว ไม่สนใจในสิ่งที่เคยสนุกสนานอีกต่อไป
    • การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการกิน ความผันผวนของน้ำหนัก และมีปัญหากับการนอนหลับ
    • การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเอง

    เด็กอาจเป็นเรื่องยากที่จะระบุภาวะซึมเศร้าด้วยความถูกต้อง และขึ้นอยู่กับอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าลูกของคุณแสดงอาการเหล่านี้มานานกว่า 2-3 สัปดาห์ก็ควรปรึกษาแพทย์ค่ะ

    การวินิจฉัยอาการซึมเศร้าในเด็ก

    หากลูกของคุณแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ คุณควรพาเขาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อขอคำปรึกษาและวินิจฉัยภาวะซึมเศร้าของเด็กได้อย่างถูกต้อง และในส่วนหนึ่งของการประเมินแพทย์อาจต้องการพูดคุยกับผู้ปกครองเช่นเดียวกับลูกของคุณค่ะ รวมถึงอาจขอข้อมูลจากครูและเพื่อนร่วมชั้นเพื่อระบุพฤติกรรม เพื่อใช้การวิเคราะห์ภาวะซึมเศร้าในเด็กโดยเฉพาะค่ะ

    การรักษาภาวะซึมเศร้าในเด็ก

    การรักษาภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กมีความคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ที่มีภาวะซึมเศร้า ด้วยจิตบำบัดหรือการใช้ยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพความซึมเศร้า ในเด็กที่มีความรุนแรงระดับปานกลางมักรักษาได้ด้วยจิตบำบัดเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการบำบัดการใช้ยามักจะต้องใช้ในกรณีรุนแรงของภาวะซึมเศร้า ซึ่งการหายาที่เหมาะสมและขนาดยาอาจต้องใช้เวลา นอกจากนี้การใช้ยาเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าได้

    ภาวะซึมเศร้าในเด็กสามารถป้องกันได้หรือไม่

    ภาวะซึมเศร้าในวัยเด็กในระดับหนึ่งสามารถป้องกันได้ โดยสิ่งสำคัญคือเด็กต้องเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเลี้ยงดูที่แนบแน่นระหว่างเด็กและผู้ปกครอง การให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่ เมื่อลูกของคุณถูกล้อมรอบจากครอบครัวที่เข้มแข็งความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อพัฒนาทักษะการเผชิญปัญหาที่ดี และควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดี

    อาการซึมเศร้าอาจส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของลูกคุณ ดังนั้นการจัดการกับเด็กที่มีภาวะซึมเศร้าอาจทำให้เกิดความเครียด และต้องใช้เวลารวมถึงความพยายามอย่างมาก ขั้นตอนแรกคือการพูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์ของพวกเขาทุกครั้งที่ลูกต้องการพูดคุย การให้การสนับสนุนและการสละเวลาให้กับลูกของคุณนั้นเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการฟื้นฟูที่ดีที่สุดค่ะ

  • อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยในเด็ก

    เด็กมักมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย แม้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องของอาหารและสุขอนามัยที่ดีของลูก โดยเฉพาะเด็กวันเข้าโรงเรียนที่จะต้องเผชิญกับองค์ประกอบภายนอกที่จะมีผลกระทบสำคัญต่อสุขภาพ และหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยคืออาหารไม่ย่อยหรือปวดท้อง ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารไม่ย่อยในเด็ก สาเหตุและการดูแลรักษาค่ะ

    อาหารไม่ย่อยในเด็กคืออะไร

    อาการอาหารไม่ย่อยเกิดขึ้นที่ส่วนบนของท้อง เมื่อเด็กรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไปไม่เหมาะกับร่างกาย สามารถมาพร้อมกับอาการท้องอืด แสบร้อน การเรออย่างต่อเนื่องและคลื่นไส้ อาการอาหารไม่ย่อยในเด็กมักพบหลังมื้ออาหาร และไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงอาจหายไปในไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ตามหากเกิดซ้ำคุณแม่อาจต้องระบุสาเหตุที่แท้จริงและใช้มาตรการป้องกันการเกิดค่ะ

    สาเหตุของการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาหารไม่ย่อยมักจะเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารที่จะมาทำลายเยื่อบุป้องกันของระบบย่อยอาหาร ซึ่งนำไปสู่การระคายเคืองของช่องท้องส่วนบน สาเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านี้ควรได้รับการวินิจฉัยที่เหมาะสมเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ถูกรักษาการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจสาเหตุของอาการอาหารย่อยในเด็กอาจเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อป้องกันและบรรเทาอาหารที่ถูกต้อง สาเหตุทั่วไปของอาการอาหารไม่ย่อย ได้แก่

    • การใช้ยาบางชนิด อาหารไม่ย่อยสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้ยาบางชนิด มักจะเกิดขึ้นกับยาที่มีองค์ประกอบของไนเตรตซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารทำให้กรดในกระเพาะอาหารรั่วไหล และเกิดการระคายเคืองเยื่อบุของระบบย่อยอาหาร หรือยาอื่นๆ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ฯลฯ เนื่องจากยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารและกรดในกระเพาะอาหาร
    • โรคอ้วน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่จากนิสัยการรับประทานอาหารในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อลูกของคุณเป็นโรคอ้วนมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นภายในช่องท้อง ซึ่งอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนในหลอดอาหารในแต่ละครั้งที่ลูกของคุณรับประทานอาหาร
    • ความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้กระทั่งกับเด็กๆก็ตาม อาจทำให้เกิดพฤติกรรมการกินและการนอนหลับที่ผิดปกติ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การย่อยในเด็ก
    • โรคไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatus hernia) เป็นภาวะที่ส่วนของกระเพาะส่วนหนึ่งดันเข้าไปในกะบังลมปิดกั้นหลอดอาหาร สามารถทำให้เกิดการย่อยที่ไม่มีประสิทธิภาพและการไหลย้อนของกรดตามมา
    • การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) สาเหตุทั่วไปอีกประการของการย่อยอาหารบ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อ อาจนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารและมะเร็ง ดังนั้นหากลูกของคุณกำลังมีอาการอาหารไม่ย่อยบ่อยครั้ง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่ถูกต้อง
    • โรคกรดไหลย้อน(GERD) เกิดขึ้นเนื่องจากมีอาการอาหารไม่ย่อยในเด็กซ้ำ ทำให้เกิดการอักเสบและการระคายเคืองของหลอดอาหาร อาหารไม่ย่อยจากสาเหตุนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • แผลในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่กระเพาะอาหารของเด็กมีแผลเปิดซึ่งมีส่วนทำให้เกิดปัญหาอาหารไม่ย่อยได้เช่นกันค่ะ

    อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    อาการอาหารไม่ย่อยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คืออาการไม่สบายบริเวณช่องท้องส่วนบน และจุดที่ควรทราบคืออาการส่วนใหญ่เกิดขึ้นทันทีหลังอาหารค่ะ ในกรณีที่อาหารไม่ย่อยอย่างรุนแรงลูกของคุณอาจบ่นถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถทนทานได้ ซึ่งอาการทั่วไปของอาการอาหารไม่ย่อยคือ ท้องอืดรู้สึกอึดอัดในท้อง เรอหรือผ่านลมบ่อย กรดไหลย้อนที่เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้อาหารหรือของเหลวออกจากกระเพาะอาหารกลับเข้าไปในปาก คลื่นไส้ อาเจียน ฯลฯ ในกรณีลูกของคุณมีอาการอาหารไม่ย่อยหลังอาหารเกือบทุกมื้อ และมีอาการอื่นๆร่วมด้วยควรพบแพทย์ ได้แก่ ลูกของคุณลดน้ำหนัก เบื่ออาหาร กลืนอาหารลำบาก หายใจไม่ออกหรือเหงื่อออกโดยไม่มีเหตุผล มีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่อง อาเจียนหรืออุจจาระมีเลือดปน เป็นต้น

    การรักษาอาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    แม้ว่าอาหารไม่ย่อยในเด็กส่วนใหญ่ไม่ต้องการการรักษาจากแพทย์ แต่ในกรณีที่อาการยังคงอยู่นานกว่า 2-3 ชั่วโมง ลูกของคุณรู้สึกไม่สบายรู้สึกเจ็บปวดมากคุณอาจต้องไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งคุณแม่จะต้องแจ้งรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับอาการอาการของลูก รวมถึงนิสัยการรับประทานอาหารของลูกและข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ลูกของคุณใช้ค่ะ

    การรักษาโดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการกดบริเวณรอบๆท้อง เพื่อทำความเข้าใจตำแหน่งของความเจ็บปวด ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยนี้เขาอาจกำหนดวิธีการรักษา หรือขอการตรวจสอบเพิ่มเติมในรูปแบบของการสแกน X-ray ช่องท้องหรือตรวจอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในทันทีลูกของคุณ อาจได้รับยาลดกรดอ่อนเพื่อบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยค่ะ

    การป้องกันอาหารไม่ย่อยในเด็ก

    หากลูกของคุณมีระบบย่อยอาหารที่ละเอียดอ่อน สิ่งสำคัญคือคุณต้องกำหนดข้อจำกัดทางโภชนาการบางอย่าง อย่าให้ลูกกินอะไรผิดปกติที่ไม่เหมาะกับท้องของเขา และเคล็ดลับพื้นฐานในการป้องกันการย่อยในเด็ก ได้แก่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำมันในปริมาณสูง หลีกเลี่ยงช็อคโกแลตในปริมาณมาก ปลูกฝังนิสัยการกินช้าๆเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน มองหาวิธีที่จะทำให้ลูกของคุณมีความสุข อย่าปล่อยให้ลูกวิ่งหรือออกกำลังกายทันทีหลังอาหารมื้อใหญ่

    อาหารไม่ย่อยเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่หลายคนเช่นกันค่ะ อย่างไรก็ตามควรใช้ความระมัดระวังการดูแลเอาใจใส่กับรายละเอียด และสังเกตลูกของคุณว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับอาหารที่แตกต่างกัน และควรแพทย์ทันทีเมื่อพบสิ่งผิดปกติที่เกิดกับลูกของคุณค่ะ

  • Reye’s Syndrome

    Reye’s Syndrome

    ปัจจุบันการเจ็บป่วยของเด็กมีสูงขึ้น อาจจะด้วยสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษต่างๆที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ป่วยได้ วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มารูจักกับกลุ่มอาการเจ็บป่วยในเด็กที่อาจทำให้ลูกของคุณเสียชีวิตได้ค่ะ

    Reye Syndrome หรือกลุ่มอาการราย เป็นอาการที่พบได้ยากแต่รุนแรง ทำให้เกิดการบวมในตับและสมองหรือในบางรายอาจเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่พบในเด็กอายุ 4 ปีไปจนถึงช่วงอายุไม่เกิน 20 ปี ที่ฟื้นตัวจากการติดเชื้อไวรัส หรือการใช้ยาแอสไพรินในช่วงเจ็บป่วยจากไวรัส 

    สาเหตุของกลุ่มอาการ Reye ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจจะถูกกระตุ้นจากการใช้ยาแอสไพรินในการรักษาโรคไวรัสหรือการติดเชื้อ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใสในเด็ก หรือวัยรุ่นที่มีความผิดปกติของกรดไขมัน(กลุ่มของความผิดปกติของการเผาผลาญที่สืบทอดทางพันธุกรรม) หรือในบางกรณีอาจถูกกระตุ้นจากการสัมผัสกับสารพิษบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช และทินเนอร์ซึ่งสงผลให้เกิดเกิดกลุ่มอาการรายได้เช่นกันค่ะ

    อาการของกลุ่มอาการ Reye โดยทั่วไปจะปรากฏประมาณ 3 – 5 วันหลังจากเริ่มมีการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น โรคหวัด เป็นต้น โดยมีอาการดังนี้ อาเจียนบ่อย มีพฤติกรรมหงุดหงิดก้าวร้าว สับสน งุนงง ร่างกายอ่อนเพลีย ง่วงนอนผิดปกติหรือเซื่องซึม ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จะมีอาการโรคท้องร่วงและหายใจเร็ว ในบางกรณีที่พบอาการรุนแรง การอาเจียนอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชักและหมดสติ ส่งผลกระทบต่อส่วนต่างๆของร่างกาย และนำไปสู่อาการสมองบวม ซึ่งเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ ดังนั้นควรรีบพบแพทย์ทันที 

    การรักษากลุ่มอาการราย แพทย์จะทำการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเป็นหลักค่ะ และการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เพื่อป้องกันอาการรุนแรงหรืออาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ชักหมดสติซึ่งอาจทำให้สมองบวมหรือสมองเสียหายถาวรได้ และในกรณีที่ผู้ป่วยอาการรุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิดในห้องผู้ป่วยไอซียู เนื่องจากอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

    การป้องกันกลุ่มอาการราย เนื่องจากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเกิดมาจากสาเหตุใด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการราย เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการให้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่มีแอสไพรินในช่วงเวลาที่เจ็บป่วย หรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่มีแอสไพรินค่ะ

    เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญการป้องกันจึงเป็นที่จำเป็นเสมอ หรือหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันท่วงที ความสูญเสียก็จะไม่เกิดขึ้นค่ะ ด้วยความปรารถนาจาก www.thaichildcare.com

  • เล็บติดเชื้อในเด็ก

    เล็บติดเชื้อในเด็ก

    การเจ็บป่วยไม่สบายตัวหรือสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นกับลูก มักเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจต่อคนเป็นพ่อแม่ ถึงแม้ว่าในบางครั้งอาจเป็นเพียงเล็กน้อยสามารถหายได้เองก็ตามค่ะ ดังนั้นวันนี้เรามาพูดคุยกันเรื่องของปัญหาเล็บติดเชื้อของเด็กกันค่ะ สาเหตุของการติดเชื้อ ความรุนแรงและมีวิธีอย่างไรในการดูแลรักษาค่ะ

    การติดเชื้อของเล็บมือเกิดขึ้นที่เล็บหรือขอบเล็บ ส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อที่เล็บไม่ร้ายแรงแต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากเชื้อรา และอาจเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส เชื้อโรคเหล่านี้เข้าไปในผิวหนังหรือเล็บผ่านรอยแตกเล็กๆ พบได้บ่อยในเด็กที่มีพฤติกรรมชอบกัดเล็บแคะเล็บ หรือในเด็กที่มีปัญหาเล็บคุด ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายค่ะ เมื่อเกิดการติดเชื้อเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เล็บเท้าหรือการติดเชื้อเล็บมือ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการบวมแดงของบริเวณที่มีการติดเชื้อหรือมีหนองร่วมด้วย และมักสร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กๆค่ะ ในบางรายมีอาการอักเสบรุนแรงและติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ หากพบว่าลูกของคุณมีไข้ บริเวณบวมแดงร้อนหรือขยายใหญ่ขึ้นร่วมกับการมีหนอง คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กๆไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    การรักษาสำหรับการติดเชื้อเล็บเท้าหรือเล็บมือติดเชื้อขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ในกรณีที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรงไม่มีหยอง โดยการรักษาความสะอาดร่วมกับการใช้ยาทาบริเวณเล็บที่ได้รับผลกระทบ เมื่อมีหนองรอบเล็บอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือประคบร้อนเพื่อระบายหนองออกค่ะ ทั้งนี้หากอาการไม่ดีขึ้นมีการบวมแดงมากขึ้นหรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงค่ะ

    การป้องกันการติดเชื้อเล็บสามารถทำได้ค่ะ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเล็บติดเชื้อและอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ค่ะ โดยเริ่มต้นจากการรักษาความสะอาดเล็บมือเล็บเท้าของเด็กๆเป็นประจำควรล้างทำความสะอาดเล็บมือและเท้าด้วยน้ำสบู่ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกัดเล็บ การตัดเล็บไม่ควรตัดตรงและไม่ตัดสั้นเกินไปค่ะ เมื่อเล็บงอกอาจทิ่มเข้าไปในเนื้อได้ทำให้เกิดปัญหาเล็บขบลุกลามเป็นแผลติดเชื้อในกระแสเลือดได้ค่ะ

    สุขภาพของลูกๆเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องเล็กๆที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรประมาทนะคะ เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงได้ค่ะ การดูแลเอาใจใส่หมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กเพราะเขาไม่สามารถอธิบายให้ฟังได้ค่ะ

  • 10 อาหารเพิ่มน้ำหนักเด็กที่ต่ำกว่าเกณฑ์

    10 อาหารเพิ่มน้ำหนักเด็กที่ต่ำกว่าเกณฑ์

    คุณพ่อคุณแม่ หลายท่านอาจพบว่าลูกตัวเองมีน้ำหนักที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากที่ ลูกไม่ยอมกินอาหาร ลูกเบื่ออาหาร จึงทำได้ลูกได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือในเด็กบางคนก็รับอาหารที่ไม่ตรงตามโภชนาการ สาเหตุมาจากที่ให้อาหารลูกที่ไม่ถูกต้อง หรือตามใจลูกในการกินมากเกินไป จนทำให้ลูกเลือกกินอาหาร

    อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกน้ำหนักน้อย ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ การที่เด็กนอนไม่เพียงพอ เด็กนอนดึก ไม่เพียงจะทำให้เด็กน้ำหนักน้อยแล้ว ยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และอาจทำให้เด็กเป็นโรคหัวใจด้วย

    ในระยะแรกของเด็กที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ จะมีผลต่อ

    • ความสูง
    • การเรียนรู้
    • ความจำ
    • ภูมิร่างกายต่ำ ป่วยง่าย
    • ติดเชื้อได้ง่าย

    ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่ รู้ว่าลูกมีน้ำหนักน้อยที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ต้องรีบแก้ไขด่วน โดยวิธีเพิ่มน้ำหนักลูกเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือการปรับเปลี่ยนวิธีกินของลูก ต้องรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่สามารถเพิ่มน้ำหนักให้กับลูกได้ และเสริมสุขภาพของลูกด้วย ในครั้งนี้ จะขอแนะนำ 10 สุดยอดอาหารเพิ่มน้ำหนักให้ลูกที่มีน้ำหนักน้อยมาฝากค่ะ ไม่เพียงแค่นำหนักตัวลูกน้อยที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการที่ดีต่อตัวลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

    อาหารเพิ่มน้ำหนักเด็ก มีดังนี้

    • เนย
      คุณพ่อคุณแม่อาจมองว่าอาหารประเภทนี้ไร้ประโยชน์หรือไม่ดีต่อตัวของเด็กหรือเปล่า ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เนยมาทำขนม นำมาเป็นส่วนประกอบอาหารเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมหรือรสชาติได้ค่ะ ควรเลือกซื้อเนยแท้เปอร์เซนสูง ไม่เจือสีค่ะ
    • เนยถั่ว
      อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และมีโปรตีนสูงค่ะ จะเป็นเนยถั่วลิสง หรือ เนยถั่วอัลมอนด์ก็ได้ค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำแซนวิชเนยถั่วให้ลูกกินได้ทุกวันได้ค่ะ
    • นม
      มีสารอาหารทั้งแคลเซียมและคาร์โบไฮเดรต ลูกควรได้กินอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว ถ้าลูกเบื่อไม่อยากกินนมทุกวัน สามารถผสมธัญพืชต่าง ๆ ลงไปเพื่อเพิ่มความอร่อยได้ค่ะ
    • ไข่
      เป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง มีวิตามินเอ วิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกาย เด็ก ๆ ควรจะได้ทานไข่ทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ฟอง ค่ะ
    • กล้วย
      เป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับเด็ก ๆ เพราะให้พลังงานสูง และมีคาร์โบไฮเดรต และ ไขมันที่มีความจำเป็นกับร่างกายของเด็ก ๆ วัยกำลังเจริญเติบโตค่ะ
    • อะโวคาโด
      เป็นผลไม้ที่เด็ก ๆ ทุกคนควรได้ทาน เพราะมีไขมันช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองของเด็กทุกวัย และยังช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ อีกด้วยค่ะ
    • ไก่
      มีโปรตีนสูงช่วยในเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ ไก่เป็นอาหารที่หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง เนื้อค่อนข้างนิ่ม ทำอาหารทานได้หลายเมนูค่ะ
    • มันฝรั่ง
      รับรองว่าถ้ากินมันฝรั่งทุกวัน ลูกของคุณจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแน่นอนค่ะ เพราะมันฝรั่งมีคาร์โบไฮเดรตสูงเด็ก ๆ จะได้รับพลังงานอย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ
    • เนื้อสัตว์
      จำเป็นมากสำหรับเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เพราะเนื้อสัตว์มีโปรตีนเหมาะสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตทุกวัยค่ะ
    • ผักและผลไม้
      การทานผักและผลไม้จะทำให้เด็ก ๆ ทานอาหารได้มากขึ้น เพราะระบบย่อยอาหารจะทำงานได้ดี และสามารถกินอาหารได้เรื่อย ๆ นอกจากนี้เด็ก ๆ ยังได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย สามารถกินได้ทุกวันค่ะ

    นอกจากอาหารที่กล่าวมานั้นคุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกน้อยได้ทำกิจกรรมต่างๆ การออกกำลังกาย รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียง เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกคุณค่ะ ถ้าหากครอบครัวไหนที่ลูกๆทานยากสารถตกแต่งรูปแบบอาหาร เพื่อดึงดูความสนใจของเด็กได้ค่ะ

    บทความที่เกี่ยวข้อง อาหารที่เพิ่มน้ำหนักเด็กต่ำกว่าเกณฑ์

  • เหงื่อออกมากในเด็ก

    เหงื่อออกมากในเด็ก

    ลูกของคุณเหงื่อออกมากเกินไปหรือหรือเปล่า ซึ่งในบางครั้งอาการเหงื่อออกมากๆอาจจะเป็นอาการของปัญหาสุขภาพพื้นฐานค่ะ เหงื่อออกมากเกินไปในเด็กก่อนวัยเรียนและวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ เด็กในช่วงวัยนี้มักจะมีเหงื่อที่ฝ่ามือ หลัง รักแร้ หรือเหงื่อออกที่ใบหน้ามากเกินไป แต่ในทางตรงกันข้ามการมีเหงื่อออกมากๆในเด็กเล็กนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักและบางครั้งก็อาจเป็นอาการของโรคได้ค่ะ

    เหงื่อออกเป็นกลไกของร่างกายในการควบคุมอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นของร่างกาย ความร้อนภายในร่างกายจะถูกปลดปล่อยออกจากร่างกายด้วยการขับเหงื่อออกมา หรือเหงื่อออกที่ฝ่ามืออาจเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลนั้นรู้สึกประหม่าหรือตื่นเต้น เป็นต้น ซึ่งอารมณ์หรือสุขภาพที่ซับซ้อนสามารถกระตุ้นต่อมเหงื่อตลอดเวลา และอาการเหงื่อออกมากเกินไปในเด็กขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

    • เสื้อผ้าหรือสภาพแวดล้อม เสื้อผ้าที่อบอุ่นในช่วงอากาศร้อนอาจทำให้เหงื่อออกมากเกินไปได้ค่ะ
    • การติดเชื้อ อาการของการเจ็บป่วย อาจทำให้เหงื่อออกมากเกินไป เช่น วัณโรค เป็นต้น
    • ไทรอยด์เป็นพิษ เหงื่อออกมากเป็นสัญญาณความไม่สมดุลของฮอร์โมนไทรอยด์นี้จะมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ลดน้ำหนัก คลื่นไส้ หรือท้องเสีย
    • โรคเบาหวาน หากลูกของคุณมีเหงื่อออกมาก และเหงื่อมีกลิ่นเหมือนอะซิโตนหรือน้ำยาล้างเล็บที่รู้จักกันดี
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
    • โรคหัวใจและหลอดเลือด ทารกที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวมักมีอาการอื่น นอกเหนือจากการมีเหงื่อออกมาก ไอบ่อย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว ขณะกินอาหารหายใจเร็ว

    อาการเหงื่อออกมากเกินไปในเด็กเล็ก อาจสังเกตได้จากมีเหงื่อออกที่ใบหน้าของลูก หรือมีเหงื่อซึมผ่านเสื้อผ้า ในขณะที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย หากมีเหงื่อออกมากเกินไป อาการบางอย่างก็จะตามมาด้วย ได้แก่ ภาวะเหงื่อออกที่มองเห็นได้และความเปียกชื้น ลูกของคุณอาจมีเหงื่อออกมากเกินไปที่ฝ่ามือ แผ่นหลัง รักแร้ ฯลฯ การติดเชื้อที่ผิวหนัง เหงื่อออกมากเกินไปบางครั้งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ค่ะ

    การรักษาเหงื่อออกมากในเด็ก 

    การรักษาภาวะเหงื่อออกมากนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขับเหงื่อที่ลูกของคุณ เช่น ยาลดเหงื่อ เพื่อรักษาภาวะเหงื่อออกมาก ยารักษารักษาช่องปากบางชนิด เพื่อป้องกันประสาทที่กระตุ้นต่อมเหงื่อ แต่มีผลข้างเคียงของยาดังกล่าว เช่น อาการปากแห้ง ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ และการฉีดโบทูลินัมท็อกซินช่วยในการปิดกั้นเส้นประสาทที่นำไปสู่การกระตุ้นของต่อมเหงื่อในเด็ก นอกจากนี้ยังสามารถรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดต่อมเหงื่อ การผ่าตัดจะกำจัดต่อมเหงื่อผ่านการดูดไขมัน การศัลยกรรมเส้นประสาทคือ การผ่าตัดเส้นประสาท การทำงานของเส้นประสาทไขสันหลังที่ทำให้ต่อมเหงื่อถูกปิดการใช้งาน

    การดูแลป้องกันภาวะเหงื่อออกในเด็ก ได้แก่ การรักษาความสะอาด อาบน้ำเป็นประจำเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียบนผิวหนัง การสวมใส่เสื้อผ้า ถุงเท้าสบาย ระบายอากาศได้ดีเหมาะกับสภาพของอากาศ หลังจากออกแรงหรือสัมผัสอากาศร้อน ควรทำให้ตัวเย็นลงใต้พัดลมและปล่อยให้เหงื่อแห้ง เป็นต้น

  • ความบกพร่องทางการได้ยินในเด็ก

    ความบกพร่องทางการได้ยินในเด็ก

    ความสามารถในการได้ยินมีความสำคัญสูงสุดสำหรับการพัฒนาทักษะการพูดและการใช้ภาษาของเด็ก ซึ่งในบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบการได้ยินของเด็ก แต่ด้วยเทคนิคและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันการสูญเสียการได้ยินในเด็กสามารถตรวจพบในระยะแรกค่ะ หากคุณรู้สึกว่าลูกของคุณอาจมีปัญหาการได้ยินควรพาลูกพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

    การสูญเสียการได้ยินคือ เมื่อไม่สามารถได้ยินเสียงบางส่วนหรือทั้งหมดซึ่งเด็กอาจมีการสูญเสียการได้ยินเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรงค่ะ หากเด็กไม่สามารถเข้าใจหรือฟังการสนทนาทั้งหมดปกติมันอาจเป็นกรณีของการสูญเสียการได้ยินเล็กน้อย ในกรณีที่เด็กมีการสูญเสียการได้ยินทั้งหมดซึ่งไม่สามารถได้ยินจากหูทั้งสองและใช้ภาษามือเพื่อการสื่อสาร อย่างไรก็ตามกลุ่มการสูญเสียการได้ยินสามารถจำแนกได้ดังนี้

    • การสูญเสียการได้ยินก่อนพูด (Pre-Lingual Deafness) คือ การสูญเสียความสามารถในการได้ยินก่อนที่เด็กจะพูดหรือเข้าใจคำศัพท์
    • มีปัญหาการได้ยินที่เกิดหลังจากที่มีภาษาพูดมาก่อนแล้ว (Post-Lingual Deafness) คือ การสูญเสียความสามารถในการได้ยินหลังจากเด็กสามารถพูดและเข้าใจคำศัพท์ได้

    ประเภทของการสูญเสียการได้ยินของเด็ก

    • ความผิดปกติในการประมวลเสียงจากระบบประสาท เป็นสภาวะที่สมองไม่สามารถประมวลผล หรือแปลงคำพูดเป็นข้อความที่สื่อความหมายได้ คนที่มีความผิดปกตินี้อาจพบว่าเป็นการยากลำบากในการใช้หรือเข้าใจแหล่งที่มาของเสียง ข้อมูลจากการฟัง
    • การสูญเสียการได้ยินจากระบบการนำเสียงบกพร่อง เป็นภาวะที่ความสามารถของร่างกายในการนำคลื่นเสียงถูกขัดขวาง เกิดขึ้นเมื่อทางเดินของคลื่นเสียงได้รับผลกระทบในช่องหู ในเด็กที่หูชั้นกลางอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบมากที่สุดของการสูญเสียการได้ยิน
    • การสูญเสียการได้ยินจากประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง เป็นผลมาจากปัญหาในหูชั้นใน การสูญเสียการได้ยินของประสาทหูเสื่อม เมื่อหูชั้นในหรือเส้นประสาทหูชั้นในเสียหาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ การเจ็บป่วยที่รุนแรง หรือปัจจัยทางพันธุกรรม
    • การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม ในกรณีที่มีการสูญเสียการได้ยินจากระบบการนำเสียงบกพร่อง ร่วมกับจากประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อหูชั้นกลางและหูชั้นในของเด็กได้รับความเสียหาย การติดเชื้อที่หูเรื้อรังค่ะ
    • การสูญเสียการได้ยินความถี่สูง การสูญเสียการได้ยินประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อเด็กมีปัญหาในการได้ยินเสียงภายใน 2,000 – 8000 Hz ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม การสัมผัสกับเสียงดัง การเจ็บป่วยบางอย่าง ผลข้างเคียงของยา ฯลฯ
    • การสูญเสียการได้ยินความถี่ต่ำ เมื่อมีปัญหาในการได้ยินเสียงต่ำกว่า 2,000 Hz  ซึ่งอาจเกิดจากการสูญเสียการได้ยินของระบบประสาทอาจทำให้เด็กได้ยินเสียงความถี่ต่ำ

    สาเหตุการสูญเสียการได้ยินในเด็ก

    การสูญเสียการได้ยินในเด็ก อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุค่ะ แต่ร้อยละ 60 เป็นเพราะสาเหตุที่สามารถป้องกันได้ โดยสาเหตุของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก ได้แก่

    • การสูญเสียการได้ยินแต่กำเนิด อาจเป็นเพราะเหตุผลทางพันธุกรรม หรือปัจจัยอื่นๆช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ได้แก การดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวาน ความผิดปกติของสมองหรือประสาทในทารก คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน เริม เป็นต้น
    • การสูญเสียการได้ยินชั่วคราว อาจเกิดจากการติดเชื้อหูอักเสบ เช่น โรคหูน้ำหนวกเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากมีโอกาศเกิดการอุดตันและการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งการสูญเสียการได้ยินประเภทนี้เป็นเพียงชั่วคราวและรักษาได้ แต่หากไม่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้แก้วหูกระดูกและประสาทหูเสียหายได้
    • การสูญเสียการได้ยินชนิดหลังการเกิด สาเหตุที่อาจส่งผลให้สูญเสียการได้ยิน ได้แก่ การบาดเจ็บที่หูหรือการบาดเจ็บที่ศีรษะ หูอักเสบ การสัมผัสเสียงดังมาก หรือโรคต่างๆ เช่น ไอกรน คางทูม โรคหัดและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

    สัญญาณและอาการของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก สามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้

    • สัญญาณและอาการทั่วไป
      – หากลูกของคุณดูเหมือนจะไม่ตั้งใจ
      มีปัญหาด้านการสื่อสารหรือการพูด
      – ถ้าลูกของคุณให้คำตอบที่แปลกหรือไม่เกี่ยวข้อง
      – มีพฤติกรรมการโน้มเอียงหูไปทางคนที่กำลังพูดอยู่
      – ลูกของคุณพูดเสียงดัง
      – ลูกพยายามอ่านปากขณะสนทนากับคุณ
      – ลูกมีอาการปวดหูหรือได้ยินเสียงผิดปกติ
    • สัญญาณและอาการของการสูญเสียการได้ยินในทารก
      – ลูกน้อยไม่รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเสียงดัง

      – ลูกน้อยอายุ 6 เดือนขึ้นไป ไม่ตอบสนองต่อแหล่งกำเนิดเสียง
      – ลูกน้อยตอบสนองต่อเสียงบางอย่าง แต่ไม่ใช่เสียงทั้งหมด
      – ลูกน้อยตอบสนองหลังจากที่ได้เห็นคุณ แต่ไม่ใช่เสียงของคุณ
      – ลูกน้อยอายุ 1 ปีขึ้นไป ไม่สามารถพูดพยางค์เดียว
    • สัญญาณและอาการของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก
      – ลูกของคุณพูดไม่ชัด

      – คำพูดของเด็กล่าช้า
      – ไม่สามารถทำตามคำแนะนำได้
      – ลูกของคุณปรับระดับเสียงทีวีสูงเกินไป
      – ลูกมักจะขอให้ทำซ้ำในสิ่งที่คุณพูด

    การรักษาสำหรับเด็กที่มีการสูญเสียการได้ยิน

    การรักษาอาการสูญเสียการได้ยินในเด็กแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและอาการ แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

    • ยาปฏิชีวนะ ในกรณีการสูญเสียการได้ยินเกิดจากการติดเชื้อที่หูเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ
    • เครื่องช่วยฟัง ในกรณีที่เด็กสูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยฟังสำหรับเด็ก เนื่องจากยาหรือการผ่าตัดจะไม่สามารถรักษาอาการสูญเสียการได้ยินชนิดนี้ได้ค่ะ
    • การผ่าตัด ในกรณีที่เด็กสูญเสียการได้ยินชนิดชั่วคราวเนื่องจากการอุดตันในหู
    • ประสาทหูเทียม ในกรณีที่เด็กกำลังมีอาการหูหนวกหรือสูญเสียการได้ยินอย่างรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการฝังประสาทหูเทียม การผ่าตัดเพื่อแปลงเสียงให้เป็นแรงกระตุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะถูกส่งผ่านทางหูชั้นใน
    • การบำบัดด้วยคำพูด การสูญเสียการได้ยินส่งผลกระทบต่อการพูดหรือทักษะการพูดของเด็ก แพทย์อาจแนะนำให้ใช้การบำบัดด้วยคำพูดหลังจากที่เด็กได้รับประสาทหูเทียมหรือเครื่องช่วยฟังค่ะ

    การป้องกันการสูญเสียการได้ยินในเด็ก

    การสูญเสียการได้ยินหลังจากเกิดแล้วสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

    • ทารกควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังในระยะแรก ซึ่งอาจทำให้แก้วหูเสียหาย
    • หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังของเด็กอย่างน้อยอายุ 6 – 7 ปี
    • อุดหูหรือที่ครอบหูทุกครั้งที่ให้ลูกได้ยินเสียงดัง เช่น คอนเสิร์ต การแข่งขัน หรือกิจกรรมอื่นๆที่มีเสียงดังมาก
    • หลีกเลี่ยงของเล่นชิ้นเล็กหรือของแหลมที่สามารถนำเข้าหูได้
    • หลีกเลี่ยงการดูทีวีหรือฟังเพลงในระดับเสียงสูง
    • ฯลฯ

    การสูญเสียการได้ยินอาจส่งผลกระทบต่อลูกของคุณมากกว่าที่คิด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติ และควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษาและรับคำแนะนำการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

  • การเดินละเมอในเด็ก

    การเดินละเมอในเด็ก

    สวัสดค่ะ คุณพ่อคุณแม่ลูกของคุณมีอาการละเมอบ้างหรือเปล่าคะ ถ้ามีและเราจะมีวิธีรับมือกับอาการละเมอของลูกๆอย่างไร วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการละเมอในเด็กเกิดขึ้นบ่อยในช่วงอายุ 4 – 8 ปีมากกว่าในผู้ใหญ่ค่ะ ซึ่งอาการละเมอนั้นเป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นในขณะที่ลูกของคุณกำลังหลับ โดยผู้ที่มีอาการจะไม่รู้สึกตัวและมีอาการมึนงงหลังรู้สึกตัวค่ะ ซึ่งจะแสดงในรูปแบบต่างๆ เช่น ละเมอเดินไปมา ลุกขึ้นนั่งลืมตา ละเมอพูดคุย หยิบสิ่งของต่างๆ ฯลฯ การนอนหลับทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงหลับตื้นและช่วงหลับลึกค่ะ และพฤติกรรมการละเมอที่เกิดขึ้นจะอยู่ในช่วงที่หลับลึก ผู้ที่มีอาการละเมอจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้เมื่อตื่นขึ้นมา โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุ ถ้าเด็กประสบปัญหาอาการนอนไม่หลับหรือเหนื่อยล้า โอกาสของเด็กคนนั้นที่มีตอนเดินละเมอมีแนวโน้มมากกว่าปกติค่ะ

    สาเหตุของการเดินละเมอในเด็ก อาจมากจากปัจจัยเหล่านี้ เช่น

    • กรรมพันธุ์ พบว่าการเดินละเมอในครอบครัวที่มีประวัติการละเมอบ่อยครั้ง โดยเฉพาะพ่อและแม่ที่นอนละเมอ ทำให้ลูกมีโอกาสนอนละเอมเช่นกันค่ะ
    • การอดนอน นอนไม่หลับ หรือถูกรบกวนการนอนหลับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเดินละเมอ
    • รูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจในระหว่างนอนหลับ ผลกระทบหยุดหายใจระยะเวลาสั้นๆในช่วงกลางคืน
    • การใช้สารหรือยาบางชนิด ที่ส่งผลต่อการนอนหลับของเด็ก
    • ความวิตกกังวล ความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ
    • มีประวัติอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
    • ร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข เช่น ขาอยู่ไม่สุขเป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอาจเป็นสาเหตุของการเดินละเมอ

    อาการของการเดินละเมอ

    ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่าละเมอเดินสิ่งแรกที่คิดคือการเดินระหว่างการนอนหลับ อย่างไรก็ตามการเดินในขณะนอนหลับไม่ได้เป็นสัญญาณเดียวของความผิดปกตินี้ อาการแสดงของการละเมอที่เป็นสัญญาณที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก ได้แก่ นั่งขึ้นและมองไปรอบๆ พูดคุยขณะนอนหลับ แต่ไม่ตอบสนองเมื่อคุณคุยด้วย ร้องไห้ขณะหลับ หรือเดินไปเดินมารอบๆ มีพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น การเปิดหน้าต่างหรือประตูและปิด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดซ้ำๆ เป็นต้น

    การรักษาสำหรับการเดินละเมอในเด็ก โดยทั่วไปจะหายได้เองเมื่อโตขึ้นค่ะ แต่ในบางกรณีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเดินละเมอ คือยาบางชนิดควรปรึกษาแพทย์สำหรับการใช้ยานั้นๆเพื่อเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นทดแทนได้หรือไม่ค่ะ

    การป้องกันการเดินละเมอในเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินละเมอของเด็ก เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาระยะเวลาการนอนหลับหรือเวลาเข้านอนอย่างสม่ำเสมอ สร้างบรรยากาศในห้องนอนเย็นสบายและปลอดภัย จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นค่ะ หลีกเลี่ยงเสียงรบกวนหรือสิ่งรบกวนอื่นๆ ในตอนกลางคืนเมื่อเด็กหลับ เป็นต้น

    การเดินละเมอเป็นความผิดปกติที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และเพื่อความปลอดภัยของลูกคุณควรหมั่นสังเกตุพฤติกรรมและจดบันทึกอาการของลูกเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

  • แผลในกระเพาะอาหาร

    แผลในกระเพาะอาหาร

    แผลในกระเพาะอาหารในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ค่ะ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าปัญหานี้เกิดจากการกินอาหารรสเผ็ดหรืออาหารมากเกินไป แผลในกระเพาะอาหารจะมีสาเหตุจากอะไร อาการและการรักษาอย่างไร วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ

    แผลในกระเพาะอาหารเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเด็ก ซึ่งเกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุของกระเพาะอาหาร หลอดอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้เกิดอาการปวดและมีเลือดออกในกระเพาอาหาร โดยมีสาเหตุมาจากการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้ การติดเชื้อแบคทีเรีย ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มแอสไพริน ไอบูโปรเฟน เป็นต้น และยังรวมถึงสภาวะความเครียดหรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมก็ได้

    อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารที่พบได้แก่ ปวดท้องเป็นๆหายๆและอาการแย่ลงในเวลากลางคืนหรือเมื่อท้องว่าง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย ในบางรายที่มีอาการรุนแรงพบการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายสีดำ เป็นต้น

    การรักษาแผลในกระเพาะอาหารมีหลายวิธีอยู่กับความรุนแรง และสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธีดัง เช่น ในการรักษาช่วงแรกแพทย์จะให้การรักษาด้วยยาก่อน เช่น ยาเคลือบกระเพาะ ยาลดกรด เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หยุดการใช้ยาบางชนิดที่อาจทำให้เกิดแผล เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน เป็นต้น หากอาการไม่ดีขึ้นหรือร่างกายไม่ตอบสนองการรักษาด้วยการทานยาดังกล่าว แพทย์ส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อพิจารณารักษาในขั้นตอนต่อไปค่ะ

    นอกจากนี้โรคแผลในกระเพาะอาหาร หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาจะทำให้อาการรุนแรงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ ได้แก่ มีเลือดออกภายในช่องท้อง ส่งผลให้หายใจหอบเหนื่อย เวียนศีรษะ หัวใจเต้นแรง อาเจียนเป็นเลือดและถ่ายอุจาระสีดำ อวัยวะภายในช่องท้องทะลุและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ทางเดินอาหารอุดตัน เป็นต้น

    วิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สามารถเริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ได้แก่ รับประทานอาหารครบ 3 มื้อต่อวัน ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม การใช้ยาบางชนิดเพื่อบรรเทาอาการปวดควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ค่ะ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เป็นต้น