Tag: การรักษา

  • ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก

    ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก

    ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก

    ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก อันตรายใกล้ตัวลูกน้อยมากกว่าที่คิดเสี่ยงเสียชีวิตได้ วันนี้เราจะพามารู้กันเกี่ยวกับอาการดังกล่าว รวมทั้งวิธีการดูแลและการรักษาค่ะ

    ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ พบบ่อยในเด็กช่วงอายุ 2-6 ขวบขณะนอนหลับ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ทำการรักษาจะทำให้เด็กๆมีภาวะบกพร่องออกซิเจนขณะหลับหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของเด็กต่ำลง ซึ่งมีส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ รวมถึงมีปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว ในบางรายมีอาการหัวใจโตหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตอย่างกระทันได้ค่ะ

    สาเหตุของภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในขณะนอนหลับ มีหลายปัจจัยด้วยกันแต่ส่วนใหญ่มักเกิดจาก ต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์มีขนาดโตเบียดบังทางเดินหายใจส่วนบน ร่วมกับการคลายตัวของกล้ามเนื้อคอส่วนต้นขณะหลับทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบ นอกจากนี้อาจเกิดจากเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน ทำให้มีไขมันสะสมที่บริเวณคอเพิ่มขึ้น หรือพบในเด็กที่มีลักษณะโครงหน้าผิดปกติ ทำให้ลักษณะทางเดินหายใจส่วนบนแคบกว่าปกติ เป็นต้น

    อาการของภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในขณะนอนหลับ มักจะมีการนอนกรมร่วมกับอาการหายใจลำบากขณะนอนหลับ สังเกตได้จากการหายใจขณะนอนหลับเด็กจะมีอาการหายใจลำบาก หายใจแรงและใช้กล้ามเนื้อกายใจมากกว่าปกติ ขณะที่หายใจเข้าหน้าอกยุบลงแต่ท้องป่องขึ้น และบางคนจะมีอาการกระสับกระส่าย พลิกตัวบ่อย อ้าปากหายใจ ปากซีดเขียว เสียงกรนขาดหายใจเป็นช่วงๆ ปัสสาวะราดรดที่นอน ซุกซน มีสมาธิสั้น มีพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นต้น

    การทดสอบภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก เป็นการตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะนอนหลับตลอดคืนของเด็ก ซึ่งสามารถบอกรายละเอียดของลักษณะการหายใจ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ลักษณะคลื่นสมอง ฯลฯ การทำการทดสอบนี้จะทำที่โรงพยาบาลโดยให้เด็กมานอนที่โรพยาบาลหนึ่งคืนพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง และจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ เพื่อตรวจวัดค่าต่างๆติดด้วยสติ๊กเกอร์ตามตำแหน่งต่างๆบนตัวเด็ก และจะทำการบันทึกข้อมูลไว้ตลอดทั้งคืนค่ะ ซึ่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์สามรถบอกเราให้ทราบได้ว่า เด็กมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับหรือไม่ และมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดค่ะ

    การรักษาภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก ซึ่งการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรง รวมถึงอายุของผู้ป่วย อาทิเช่น

    • กรณีที่เป็นไม่มาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถจับเด็กปรับท่าทางได้ เช่น นอนคว่ำหรือนอนตะแคง ทำให้อาการดีขึ้นได้บ้างค่ะ
    • กรณีเด็กที่เป็นโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้ โดยอาจต้องใช้ยาพ่นจมูก ยาคัดจมูก
    • กรณีที่มีน้ำหนักเกินมากไปต้องลดน้ำหนัก
    • ในรายที่หยุดหายใจใต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลและอดีนอยด์ออก
    • ถ้าแก้ไขทุกอย่างแล้วไม่ดีขึ้น ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP ผ่านหน้ากากที่ครอบบนจมูกของเด็กขณะหลับ เครื่องช่วยหายใจนี้จะมีความดันบวกทำให้ทางเดินหายใจของเด็กเปิดโล่งขึ้นขณะนอนหลับ

    ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตสุขภาพร่างกายของเด็กๆ หากเจ็บป่วยหรือมีลักษณะอาการที่สงสัยจะได้ทำการวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไปได้อย่างถูกต้องทันท่วงทีค่ะ

  • ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    ซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)

    สวัสดีค่ะ

    วันนี้เรากลับมาพบกันกับเรื่องราวสุขภาพของลูกน้อย วันนี้จะพูดคุยกันเกี่ยวกับโรคอะไรตามมาเลยจ้า

    โรคทางพันธุกรรม “ซิสติก ไฟโบรซิส”  (cystic fibrosis : CF) เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่พบได้น้อย และก่อให้เกิดความผิดปกติเสียหายที่รุนแรงของปอดและอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำลาย ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น โรคทางพันธุกรรมนี้ส่งผลให้เกิดการสร้างสารคัดหลั่ง เสมหะเมือกเหนียวข้นในปอด และอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังติดเชื้อได้ง่ายอันตรายถึงขึ้นเสียงชีวิตได้ค่t

    สติก ไฟโบรซิสเกิดจากความผิดปกติของยีน cystic fibrosis ที่สืบทอดผ่านพันธุกรรมที่ได้รับมากจากพ่อและแม่อย่างคนละอัน แต่หากได้รับยีนผิดปกติมาจากทางพ่อ หรือแม่เพียงฝ่ายเดียวก็อาจไม่เกิดอาการหรือความผิดปกติใดๆ แต่คุณจะเป็นพาหะและสามารถส่งต่อยีนนี้ไปให้ลูกตัวเองได้

    อาการของ “ซิสติก ไฟโบรซิส” พบได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เช่น ทารกอายุ 1 – 2 วันหลังคลอดเกิดอาการลำไส้ไม่ทำงาน น้ำหนักตัวน้อย การเจริญเติบโตช้า เป็นต้น อาการส่วนใหญ่พบได้บ่อยก่อนอายุ 3 ปี ลักษณะอาการและความรุนแรงมักแตกต่างกันไป เช่น อาการความผิดปกติระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจลำบาก มีเสียงหวีด คัดจมูก แน่นจมูกตลอดเวลา ปอดบวมบ่อย เป็นต้น อาการผิดปกติระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูกรุนแรง ลำไส้อุดตัน ปวดท้องหรือจุกแน่นท้อง อุจจาระมันและมีกลิ่นเหม็น เกิดภาวะดีซ่าน เป็นต้น ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะมีบุตรยากในเพศชาย เกิดถุงน้ำในอัณฑะ ภาวะอัณฑะค้างหรืออัณฑะไม่ลงถุง ภาวะขาดประจำเดือน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคนี้ยังส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย และอาจทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ เป็นต้น

    การดูแลรักษาและการป้องกัน “ซิสติก ไฟโบรซิส” โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่ะ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ ดังนั้น การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะกรณีที่เกิดการติดเชื้อ ยาละลายเสมหะ เพื่อละลายเสมหะและให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น และในบางรายอาจต้องได้รับการผ่าตัดในกรณีที่เกิดการอุดตันของสำไส้ เป็นต้น

    ปัจจุบันยังไม่พบรายงานของผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการเกิดโรคดังกล่าวในไทย คุณพ่อคูแม่ไม่ความมองข้ามค่ะ การดูแลสุขภาพร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เมื่อพบความผิดของร่างกายของลูกน้อย ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

  • ฮิคิโคโมริ ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

    ฮิคิโคโมริ ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

    ฮิคิโคโมริ ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

    ฮิคิโคโมริ ซินโดรม (Hikikomori Syndrome) คือเด็กที่มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม ปิดกั้นตัวเองไม่ชอบพบปะผู้คน เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหรือบ้านโดยไม่ติดต่อกับสังคมภายนอก หรืออาจเรียกได้ว่าพยายามทำตัวให้หายไปจากโลกความจริง และหลายๆคนอาจมองว่าเป็นคนชอบเก็บตัว ซึ่งไม่ใช่กับเด็กวัยเรียนรู้ วัยที่กำลังพัฒนาในด้านต่างๆ ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ไม่ใช่โรคเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย แต่หากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้า และนำไปสู่ภาวะของการเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งได้ค่ะ

    สาเหตุของการเกิด ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดของอาการหรือพฤติกรรมดังกล่าวค่ะ แต่จิตแพทย์และนักจิตวิทยาหลายคนที่เคยให้การรักษาหรือให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่มีอาการดังกล่าว ได้บอกถึงสาเหตุที่น่าจะทำให้เกิดอาการของฮิคิโคโมริ ได้ดังนี้

    • ความผิดหวังจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างรุนแรงและโทษตัวเอง
    • แรงกดดันจากคนรอบข้าง ทำให้เกิดความเครียดสะสม เช่น เรื่องการเรียนที่ถูกคาดหวังจากครอบครัวมากเกินไป
    • ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนหรือคนรอบข้างบ่อยครั้ง ทำให้รู้สึกแย่และสูญเสียความมั่นใจ
    • กลัวการเข้าสังคม อารมณ์อ่อนไหวกับคำแนะนำหรือคำวิจารณ์ เมื่อเจ็บปวดก็มักจะยอมรับไม่ได้
    • หนีปัญหา และค่อยๆ ทำตัวให้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

    อาการของ ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ซึ่งจะไม่แสดงออกให้เห็นถึงความผิดปกติใดๆ กับทางร่างกาย เนื่องจากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตใจ โดยจะแสดงพฤติกรรมที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้องคนเดียว ไม่ออกไปพบปะผู้คน มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นเกมส์ ดูหนัง หรือการนั่งเฉยๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าตนเองถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ต้องทนรับแรงกดดัน ปัญหา หรือความเครียดใดๆทั้งสิ้น ฮิคิโคโมริ ซินโดรม ภัยเงียบที่คุณพ่อคุณแม่มองข้าม เพราะอาจจะมองว่าลูกเป็นเด็กเก็บตัว และคงไม่ส่งผลเสียอะไรกับตัวลูกค่ะ แต่อันที่จริงหากปล่อยให้เกิดภาวะเช่นนี้ ในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การเป็นโรคทางจิตเวชค่ะ

    การรักษาฮิคิโคโมริ ซินโดรม เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดจากการได้รับผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ดังนั้น การรักษาจึงควรเป็นการรักษาทางด้านสภาพจิตใจ คุณพ่อคุณแม่รวมถึงคนรอบข้างควรให้กำลังใจ และหลีกเลี่ยงเรื่องราว คำพูดที่อาจทำให้รู้สึกกดดันได้ค่ะ

    การดูแลป้องกันฮิคิโคโมริ ซินโดรม คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ โดยการเริ่มต้นจากการคิดในแง่บวก เช่น หากลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จากการดุด่าว่ากล่าวรวมถึงการลงโทษ คุณพ่อคุณแม่อาจเปลี่ยนมาใช้การพูดให้กำลังใจที่เชื่อว่าลูกสามารถแก้ไขได้และปรับปรุงได้ เป็นต้น การใกล้ชิดใช้เวลาร่วมกันในการทำกิจกรรมต่างๆ ของคนในครอบครัว อาจเริ่มจาการทานข้าวพร้อมกัน การนั่งดูหนังด้วยกัน ไปท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมนอกบ้านบ้าง การทำกิจกรรมอื่นๆที่เหมาะสมกับวัยของเด็กๆ ส่งเสริมทักษะสร้างความมั่นใจให้กับลูก การรับฟังความคิดเห็นของลูก และที่ขาดไม่ได้เลยคือ การไว้วางใจในลูกของคุณเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำอะไรด้วยตัวเอง กล้าคิดกล้าแสดงออก ซึ่งจะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองค่ะ

    เนื่องทุกวันนี้รูปแบบวิถีชีวิตการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การแข่งขันค่อนข้างสูงบวกกับพ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก จึงทำให้แนวโน้มของการเกิดภาวะฮิคิโคโมริเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับลูกจึงจำเป็นอย่างมากค่ะ และแอดมินขอเป็นกำลังใจให้กับทุกครอบครัวค่ะ

  • กระดูกข้อศอกเคลื่อนในเด็ก

    กระดูกข้อศอกเคลื่อนในเด็ก

    กระดูกข้อศอกเคลื่อนในเด็ก

    บทเรียนราคาแพงจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือการไม่ทันได้ระวังของคุณพ่อคุณแม่หรือพี่เลี้ยงเด็ก โดยการดึงแขนลูกแรงๆซึ่งเสี่ยงต่อกระดูกข้อศอกเลื่อนหลุดได้ค่ะ อุบัติเหตุอันดับต้นๆโดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปีควรระมัดระวังเป็นพิเศษค่ะ เนื่องจากสรีระของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อศอกยังมีการพัฒนาไม่สมบูรณ์ ง่ายต่อการเคลื่อนหลุดถ้าหากมีการขยับผิดจังหวะ กระดูกข้อศอกเลื่อนเกิดจากการที่กระดูกแขนหลุดออกจากเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกไว้บริเวณข้อศอกค่ะ โดยสาเหตุหลักมักเกิดจากการจับมือลูกแล้วมีการกระตุกแรงๆอย่างรวดเร็ว การดึงมือหรือยกเด็กขึ้นมาจากพื้นโดยใช้แขนหรือมือเพียงข้างเดียว รวมทั้งการเล่นจับมือลูกเหวี่ยงแบบชิงช้า และสาเหตุอื่นๆที่อาจพบได้ เช่น อุบัติเหตุลื่นล้ม เป็นต้น กระดูกข้อศอกเลื่อนหากเคยเป็นแล้วจะมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้ง่ายค่ะ โดยเฉพาะในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกที่ลูกเคยกระดูกข้อศอกเลื่อน จึงต้องระมัดระวังให้มากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวค่ะ

    กระดูกข้อศอกเคลื่อน
    กระดูกข้อศอกเคลื่อน

    อาการแสดงว่าข้อศอกเคลื่อน คือ ลูกจะร้องไห้งอแงทันที่เนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดที่แขนมาก ซึ่งเป็นอาการที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนมองว่าลูกงอแงปกติ เดี๋ยวคงจะหยุดร้องไห้ไปเอง เมื่อเวลาผ่านไปสักพักลูกจะยังคงร้องไห้จากความเจ็บปวดอยู่และไม่ยอมขยับแขนหรือยกแขนที่เจ็บโดยเด็ดขาด ลักษณะของข้อศอกจะอยู่ในท่างอเล็กน้อย หุบเข้าหาลำตัว ลูกจะยังคงขยับหัวไหล่ได้แต่จะไม่สามารถขยับข้อศอกได้เพราะเจ็บมากค่ะ ในเด็กบางรายอาจขยับเข้าที่ได้เอง สามารถขยับแขนได้เป็นปกติและหายปวดหลังจากกระดูกข้อศอกเข้าที่ค่ะ แต่ถึงอย่างไรคุณแม่คุณพ่อก็ควรพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางนะคะ เพื่อตรวจให้ละเอียดเพิ่มเติมว่าไม่ได้มีปัญหาอย่างอื่นร่วมด้วยและการรักษาที่ถูกวิธีค่ะ

    การรักษาอาการข้อศอกเคลื่อน หากพบว่าลูกมีอาการคล้ายข้อศอกเลื่อน ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน โดยการจัดให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่งๆมากที่สุด ประคบเย็นและรักษาสภาพข้อศอกให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุดค่ะ จากนั้นให้รีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป ข้อควรระวังอย่าพยายามขยับแขนให้เข้าที่ด้วยตัวเองนะคะ เพราะอาจทำผิดพลาดแล้วทำให้บาดเจ็บที่ข้อศอก เส้นเอ็น เส้นเลือดบริเวณนี้มากขึ้นค่ะ

    การป้องกันข้อศอกเลื่อนในเด็ก
    คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดึงหรือกระชากแขนลูกอย่างรุนแรงอาจทำให้กระดูกข้อศอกหลุดได้ หากลูกล้มหรือนั่งที่พื้นควรยกตัวลูกด้วยกาจับตัวลูกที่ใต้รักแร้ หรือจับที่บริเวณแขนท่อนบนส่วนที่ติดกับหัวไหล่แล้วจึงยกขึ้น ไม่ควรดึงเด็กขึ้นมาจากพื้นด้วยมือหรือจับที่แขนท่อนล่างเพียงข้างเดียวค่ะ ไม่อุ้มลูกเล่นเหวี่ยงแบบชิงช้าเพราะอาจเกิดอันตรายได้รับบาดเจ็บอย่างอื่นๆร่วมด้วยค่ะ

    ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มักเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วคุณพ่อคุณแม่อย่ามัวโทษตัวเองนะคะ แต่หากควรระมัดระวังการจับหรือการดึงแขนลูกมากเป็นพิเศษค่ะ เพราะนี่คืออุบัติเหตุใกล้ตัวอันดับต้นๆที่มักเกิดกับลูกน้อยของเราค่ะ เราเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวค่ะ

  • ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด

    ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด

    ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด
    ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดคืออะไร อันตรายต่อตัวลูกน้อยหรือไม่ ลองไปหาคำตอบพร้อมๆกันเลยค่ะ

    ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอดหรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เกิดขึ้นจากการแตกของเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดสารบิลิรูบินหรือสารที่ให้สีเหลืองในเลือดสูงเกินไป สารนี้จะอยู่ในกระแสเลือด โดยปกติสารนี้จะถูกนำเข้าไปสู่ตับแล้วขับออกจากร่างกายผ่านไปในทางเดินน้ำดี เข้าสู่ลำไส้และขับออกทางอุจจาระเป็นส่วนใหญ่ ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด จะพบได้ในเด็กแรกเกิดเกือบทุกคนและเมื่ออายุ 3-5 วัน จะค่อยๆเหลืองน้อยลงจนหายไปได้เองค่ะ แต่ในบางกรณีที่มีภาวะตัวเหลืองผิดปกติหรือตัวเหลืองจากโรค โดยสาเหตุของทารกตัวเหลืองจากความผิดปกติที่พบบ่อยได้แก่

    • ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เป็นภาวะที่ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้มีปริมาณบิลิรูบินในเลือดสูงขึ้น
    • เลือดของแม่กับลูกไม่เข้ากัน ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกมาก พบในแม่เลือดกรุ๊ป O และลูกเป็น กรุ๊ป A หรือ B หรือหมู่เลือดระบบอาร์เอชต่างกัน
    • ตับทำงานบกพร่อง เนื่องจากเด็กแรกเกิดการทำงานของตับยังไม่สมบูรณ์หรือโรคกรรมพันธุ์บางอย่างของตับ อาจทำให้ไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินออกได้
    • การบกพร่องเอนไซม์ ส่งผลทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ
    • ภาวะไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) เด็กที่มีภาวะขาดไทรอยด์ เนื่องจากไม่มีต่อมไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่อง อาจส่งผลให้มีภาวะตัวเหลือง
    • สาเหตุอื่นๆ เช่น คลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อ มารดาเป็นเบาหวาน ท่อน้ำดีอุดตันหรือถุงน้ำดีผิดปกติ ลำไส้อุดตัน และความผิดปกติต่างๆของการขับถ่ายสารสีเหลือง เป็นต้น

    อาการตัวเหลืองในเด็ก
    ภาวะตัวเหลืองและตาเหลืองในเด็ก เกิดขึ้นในเด็กแรกเกิด 2-3 วันแรกและเด็กที่คลอดก่อนกำหนด อาการจะเริ่มจากใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและลามไปส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ลำตัว ท้อง แขน ขา และอาจมีสีเหลืองชัดขึ้นเมื่อใช้ปลายนิ้วกด รวมถึงมีอาการอื่นๆ เช่น ตาขาวเป็นสีเหลือง เหงือกเหลือง ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มซึ่งปกติปัสสาวะของเด็กแรกเกิดจะไม่มีสี อุจจาระมีสีขาวซีดเหมือนสีชอล์ก คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ว่าลูกมีภาวะตัวเหลืองหรือไม่ โดยการกดที่ผิวของลูกจะเห็นบริเวณที่กดเป็นสีเหลือง ถ้าเห็นสีเหลืองเฉพาะใบหน้าและลำตัวถือว่าเหลืองไม่มากค่ะ แต่ถ้าลงมาที่ขาและเท้าถือว่าเหลืองมาก รวมถึงมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ไม่ทานนม เซื่องซึม ตัวเหลืองขึ้นเรื่อยๆเหลืองนานกว่า 3 สัปดาห์ ควรรีบมาปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจร่างกายและเจาะเลือดตรวจระดับสารเหลืองในเลือดค่ะ

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ เมื่อระดับของบิลิรูบินในเลือดสูงมาก บิลิรูบินจะเข้าไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อสมองและก่อให้เกิดความผิดปกติทางสมองและระบบประสาท จะบบว่าเด็กมีอาการซึม ดูดนมน้อยลง ตัวอ่อนปวกเปียก หรืออาจเกิดอาการเกร็งหลังแอ่น ชัก มีอาการไข้ เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เด็กทารกจะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายและแขนขา พัฒนาการล่าช้า ระดับสติปัญญาลดลง ฯลฯ

    วิธีการรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด โดยปรกติเด็กที่มีภาวะตัวเหลืองแบบปกติทั่วไปสามารถหายเองได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ค่ะ แนวทางการรักษาทางการแพทย์เพื่อลดระดับสารบิลิรูบินในเลือดมีดังต่อไปนี้

    • การส่องไฟรักษา เป็นการใช้หลอดไฟชนิดพิเศษที่มีความยาวคลื่นแสงที่เหมาะสมกับการรักษาเท่านั้น เพื่อช่วยเปลี่ยนรูปร่างหรือโครงสร้างโมเลกุลของบิลิรูบินให้ร่างกายขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะหรืออุจจาระค่ะ
    • การเปลี่ยนถ่ายเลือดร่วมกับการส่องไฟ กรณีนี้แพทย์จะใช้วิธีนี้กับเด็กที่มีระดับบิลิรูบินในเลือดสูงมาก ซึ่งอาจจะเกิดการสะสมในเนื้อเยื่อสมอง หรือเริ่มแสดงอาการทางสมองเบื้องต้นแล้ว วิธีนี้เป็นการรักษาที่ช่วยให้ระดับบิลิรูบินในร่างกายลดลงเร็วขึ้นค่ะ
    • รักษาด้วยยา โดยการฉีดอิมมูโนโกลบูลินเข้าเส้นเลือด (IVIg)

    ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดส่งผลร้ายต่อทารกได้ ซึ่งใช้เวลานานเป็นสัปดาห์กว่าอาการจะแสดงออกมา คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตลูกน้อยหากสงสัยว่าเด็กอาจมีภาวะตัวเหลือง ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อการตรวจและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

  • โรคปอดบวมในเด็ก

    โรคปอดบวมในเด็ก

    โรคปอดบวมในเด็ก
    ปอดบวมในเด็ก 1 ใน 6 โรคที่มาพร้อมกับอากาศเย็นที่พบได้บ่อยในเด็กค่ะ ซึ่งเราจะมีวิธีการดูแลและป้องกันดูแลลูกอย่างไรให้ห่างไกลโรคนี้ วันนี้แอดมินจะพาคุณพ่อคุณแม่มาหาคำตอบค่ะ

    โรคปอดบวม เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพยาธิ ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างการอักเสบของเนื้อปอด โดยเฉพาะในถุงลมหนึ่งหรือทั้งสองข้าง โรคปอดบวมพบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตสูงถึง 1.6 ล้านคนต่อปีจากจำนวนผู้ป่วย 156 ล้านคนต่อปีทั่วโลก โดยร้อยละ 95 ของเด็กเหล่านี้อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาค่ะ โรคปอดบวมสามารถติดต่อได้จากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศเข้าไป จากการไอ จามของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสในในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ฯลฯ

    อาการโรคปอดบวมในเด็ก พบว่าโรคปอดบวมจะมีอาการที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่า เกิดการติดเชื้อที่ส่วนไหนของปอดค่ะ ซึ่งอาการเริ่มต้นจะมีลักษณะอาการคล้ายไข้หวัด มีไข้ร่วมกับการไอ ระยะต่อมาจะมีไข้สูง ไอมากขึ้น เริ่มหอบเหนื่อย หายใจแรง มีอัตราการหายใจเร็วกว่าปกติตามเกณฑ์อายุ เพลีย ซึม ไม่ค่อยทานน้ำและอาหารหรืออาเจียนร่วมด้วย คุณพ่อคุณแม่รีบพาเด็กมาพบแพทย์โดยด่วน เพื่อตรวจประเมินการรักษาค่ะ โรคปอดบวมอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น โรคฝีในปอด ซึ่งเกิดเชื้อแบคทีเรียที่ทำลายปอด ทำให้เกิดฝีในปอดตามมา แบคทีเรียในกระแสเลือดแพร่กระจายลุกลามไปยังปอดส่วนทำให้อวัยวะล้มเหลวได้ เกิดน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น

    การรักษาโรคปอดบวม

    การรักษาโรคปอดบวมสวนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคอง เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสจะไม่มียารักษาที่จำเพาะค่ะ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ หรือในบางรายที่มีอาการหดเกร็งของหลอดลมแพทย์จะให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ หากมีอาการหอบเหนื่อยอาจต้องให้ออกซิเจน หากอาการรุนแรงมากอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจค่ะ ซึ่งในบางรายหากมีภาวะหายใจล้มเหลว หรือหยุดหายใจแพทย์อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจค่ะ สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยเชื้อแบคทีเรียจะให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 7-21 วัน ขึ้นกับเชื้อและความรุนแรงค่ะ

    การป้องกันโรคปอดบวมในเด็กมีดังต่อไปนี้

    • คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้เด็กรักษาอนามัยส่วนบุคคล เช่น ล้างมือก่อนและหลังการรับประทาน ฯลฯ
    • หลีกเลี่ยงการพาบุตรหลานไปในสถานที่ที่แออัด หรือในสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่นละออง วันบุหรี่ ควันธูป เป็นต้น เนื่องจากจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค
    • ฉีดวัคซีนป้องกันโรค เช่น วัคซีนโรคไอกรน วัคซีนโรคหัด วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคไอพีดี เป็นต้น เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ รวมถึงโรคปอดอักเสบค่ะ
    • คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการป่วยของลูก หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคปอดบวมควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    โรคปอดบวมในเด็ก โรคอันตรายที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวังช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย และมักมีโรคภัยต่างๆตามมาเสมอค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจลูกน้อยอย่างใกล้ชิดนะคะ

  • โรคอีสุกอีใส(chickenpox)

    โรคอีสุกอีใส(chickenpox)

    โรคอีสุกอีใส(chickenpox)
    คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า โรคอีสุกอีใส หรือโรคสุกใส เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีค่ะ เป็นโรคที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและติดต่อกันง่าย โดยการหายใจ ไอจามใส่กัน รวมถึงการสัมผัสตุ่มแผลของโรคโดยตรง รวมถึงการสัมผัสเสื้อผ้า สิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆของผู้ป่วย
    โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลล่า(Varicella) มีระยะฟักตัวประมาณ 10 – 21 วันหลังจากได้รับชื้อไวรัส อาการเริ่มต้นผิวหนังมีผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็กหรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย และผู้ป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ในช่วงประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ยาวไปจนถึงเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว

    อาการโรคอีสุกอีใส
    อาการโรคอีสุกอีใส,สาเหตุ

    อาการโรคอีสุกอีใส เริ่มต้นด้วยการมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ เจ็บคอ รู้สึกอ่อนเพลียช่วง 1 – 2 วันแรกหลังจากนั้นไข้จะลดลงอาการต่างๆดีขึ้น แต่จะมีผื่นคนเป็นจุดแดงๆขึ้นตามหน้า ลำตัว หลัง แขนขา รวมถึงอวัยวะเพศค่ะ และต่อจากนั้นผื่นแดงจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสๆ(ตุ่มหนองเมื่อเชื้อแบคทีเรีย) หรืออาจมีตุ่มพองทยอยเกิดต่อเนื่องได้อีกภายใน 3 – 6 วัน หลังจากนั้นตุ่มจะแห้งตกสะเก็ดภายใน 1 – 3 วัน และสะเก็ดแผลจะค่อยๆลอกจางหายไปกลับเป็นปกติภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ

    ภาวะแทรกซ้อนโรคอีสุกอีใส
    โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายเองได้ โดยความรุนแรงของโรคขึ้นกับอายุและสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย รวมถึงการรักษาที่ไม่ถูกต้องก็อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อ โรคปอดบวม โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีปัญหาเลือดออก ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

    การรักษาโรคอีสุกอีใสในเด็ก

    การดูแลลูกเมื่อเป็นโรคอีสุกอีใส
    โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่หายได้เองและอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน ซึ่งการรักษาทั่วไปจะเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนค่ะ หากลูกมีไข้ให้คุณพ่อคุณแม่เช็ดตัวร่วมกับการทานยาลดไข้พาราเซตามอล ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำมากๆและพักผ่อนให้เพียงพอ ทายาแก้คันเพื่อบรรเทาอาการคัน หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่ชุมชมเพื่อลดการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของลูกด้วย หากพบว่าถ้ามีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น เช่น แน่นหน้าอก หายใจหอบ ซึมลง ชัก ควรพาลูกไปพบคุณแพทย์ทันที เพราะอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ค่ะ

    การดูแลรักษาแผลอีสุกอีใสไม่ให้เป็นแผลเป็น
    การป้องกันแผลอีสุกอีใสเพื่อไม่ให้เป็นแผลทางที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรไปเกาหรือแกะตุ่มใส หากมีอาการคันให้ทายาแก้คัน ตัดเล็บให้สั้นเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่มือและเล็บสามารถเข้าสู่กระแทรกเลือด อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆต่อมาได้ค่ะ แต่ถ้าแผลมีการติดเชื้อแบคทีเรียเป็นหนองแล้วสามารถทานยาปฏิชีวนะจะทำให้แผลตกสะเก็ดหลุดหายไปได้เองค่ะ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ควรซื้อยามาทานเองค่ะ

    การป้องกันโรคอีสุกอีใส
    เนื่องจากโรคสุกใสสามารถติดต่อได้โดยการไอจามและหายใจรดกัน รวมทั้งสัมผัสกับผื่นของโรคหรือของใช้ส่วนตัวผู้ป่วย ดังนั้นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส โดยเริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุประมาณ 12-15 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 – 6 ปี สำหรับท่านไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคจะต้องฉีด 2 เข็มเช่นเดียวกันค่ะ โดยการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกันประมาณ 28 วันค่ะ การฉีดวัคซีนเพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและลดความรุนแรงของโรคได้ค่ะ สำหรับสตรีมีครรภ์หรือหรือมีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีนค่ะ

  • โรคไซนัสอักเสบในเด็ก

    โรคไซนัสอักเสบในเด็ก

    โรคไซนัสอักเสบในเด็ก
    ลูกป่วยบ่อยหรือไซนัสอักเสบ วันนี้แอดมินจะพามาไขข้อข้องใจค่ะ เกี่ยวกับโรคไซนัสอักเสบที่ใครๆคิดว่าเด็กไม่เป็น ซึ่งเป็นอีกโรคหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบและมักมองข้ามไป เนื่องจากมีความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกับโรคหวัดและภูมิแพ้ค่ะ

    โรคไซนัสอักเสบ เป็นโรคที่มีการอักเสบของโพรงอากาศในกระดูกใบหน้าบริเวณรอบๆจมูก ซึ่งเชื่อมต่อกับโพรงจมูกทั้ง4 คู่ (ด้านข้างจมูก ดั้งจมูก หัวคิ้ว และด้านหลังจมูก) โดยเกิดขึ้นจากการเป็นหวัดนานเกิน 10 วัน จมูกเกิดอาการบวมจากการติดเชื้อโรคลุกลามไปยังเยื่อบุโพรงไซนัส ทำให้กลไกการกำจัดน้ำมูกผิดปกติไป มีการคั่งค้างของน้ำมูกใสๆภายในโพรงไซนัสและเปลี่ยนเป็นข้น เหลือง เขียวได้ กลายเป็นอาการของไซนัสอักเสบกำเริบ โดยพบว่าผู้ที่เป็นโรคแพ้อากาศจะเป็นโรคไซนัสอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไปค่ะ เนื่องจากเยื่อบุภายในโพรงจมูกมักบวมและมีการอักเสบจากภูมิแพ้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ไซนัสอักเสบ,อาการ,การรักษา
    ไซนัสอักเสบ,อาการ,การรักษา

    อาการของโรคไซนัสอักเสบในเด็ก ส่วนใหญ่จะคล้ายกับโรคหวัด มีไข้ ไอ คัดจมูก มีน้ำมูกใสหรือข้น เหลือง เขียว ข้อสังเกตหากพบว่าเด็กมีอาการไข้หวัดแย่ลงหรือเป็นมานานกว่า 7-10 วัน มีน้ำมูกไหลข้น ลมหายใจมีกลิ่น เบื่ออาหาร มีเสมหะในคอ ไอ โดยมักไอมากตอนนอนในเวลากลางคืน เนื่องจากน้ำมูกไหลลงคอในท่านอนราบ ในเด็กโตอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการปวดศีรษะบริเวณดั้งจมูก หน้าผาก หรือหัวคิ้ว ลมหายใจมีกลิ่น จมูกไม่ได้กลิ่น ในบางรายหากมีอาการรุนแรงจะมีได้สูงมากกว่า 39 องซาเซลเสียด น้ำมูกสีเขียวข้นเป็นหนอง กลิ่นเหม็น เป็นต้น หากคุณแม่สงสัยว่าลูกเป็นโรคไซนัสอักเสบ ควรพาพบหมอเพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัยและให้การรักษาอย่างถูกต้องค่ะ

    โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากไซนัสอักเสบ

    • การติดเชื้อจากโพรงไซนัสลุกลามไปยังเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้ารอบเบ้าตา (periorbital cellulitis) ทำให้หนังตาและหน้าบวมแดง และที่พบได้แต่ไม่บ่อยได้แก่ การติดเชื้อของกระดูกบริเวณใบหนัา (osteomyelitis) การติดเชื้อของเส้นประสาทตา (optic neuritis) ซึ่งอาาจทำให้ตาบอดได้
    • โรคแทรกซ้อนทางสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง เป็นต้น
    • โรคแทรกซ้อนในกรณีที่มีน้ำมูกไหลลงคอตกลงไปบริเวณหลอดลม ทำให้มีปัญหาหลอดลมอักเสบหรือมีอาการหอบได้ มักพบว่าในเด็กที่มีปัญหาหลอดลมอักเสบหรือหอบบ่อยๆ อาจเกิดจากการเป็นโรคไซนัสอักเสบซ่อนเร้นอยู่
    • ริดสีดวงจมูก หรือก้อนในจมูกที่เกิดจากภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง

    การรักษาโรคไซนัสอักเสบในเด็ก

    • ยาปฏิชีวนะ เพื่อกำจัดเชื้อโรคซึ่งต้องให้ต่อเนื่องให้นานพอที่จะฆ่าเชื้อได้หมด หากไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด ทำให้เหลือเชื้อแบ่งตัวกลับมามีอาการใหม่ในเวลาไม่นาน และทำให้เชื้อโรคดื้อยามากขึ้น โดยระยะเวลาในการใช้ยาจะนานกว่าการรักษาการติดเชื้อของระบบหายใจตามปกติ เนื่องจากโพรงไซนัสเป็นบริเวณที่ยาเข้าถึงลำบาก โดยอาจจะให้นานถึง 2-6 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกใช้ยาและระยะเวลาการรักษาตามเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละคนค่ะ
    • ยาแก้คัดจมูก ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้ของเหลวในโพรงไซนัสไหลออกได้ดีขึ้น
    • ยาละลายเสมหะ เพื่อลดความเหนียวของน้ำมูกและลดอาการคั่งค้างของน้ำมูกในโพรงไซนัส
    • การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ 0.9% normal saline solution หรือ NSS จะช่วยลดอาการบวมของจมูก ลดน้ำมูกเหนียวน้อยลง กำจัดเชื้อโรคและสารกระตุ้นภูมิแพ้ออกจากจมูกได้ดีขึ้น ลดคราบน้ำมูกแห้งกรังที่อุดตันรูเปิดของไซนัส ทำให้โพรงไซนัสสะอาดเร็วขึ้น
    • ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์ มักใช้ร่วมกับในบางรายที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ ช่วยลดการอักเสบจากภูมิแพ้ ทำให้อาการบวมของเยื่อบุจมูกลดลง อาการคัดจมูกดีขึ้น
    • ในบางรายที่มีอาการไซนัสอักเสบรุนแรงแพทย์จะรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
    • การติดตามผลการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากผู้ป่วยควรจะต้องมารับการประเมินผลการรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง

    การดูแลป้องกันโรคไซนัสอักเสบในเด็ก ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นไซนัสอักเสบซ้ำๆค่ะ ดังนั้นหากพบว่าลูกมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น หรือคุณแม่สงสัยว่าลูกเป็นโรคไซนัสอักเสบ ควรพาลูกพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัยและให้การรักษาอย่างถูกต้องค่ะ

  • ลูกนอนกรนเป็นอันตรายหรือไม่

    ลูกนอนกรนเป็นอันตรายหรือไม่

    ลูกนอนกรนเป็นอันตรายหรือไม่

    สวัสดีค่ะ เด็กๆบ้านไหนนอนกรนบ้างเอ่ย วันนี้เราจะมาไขปริศนาการนอนของเด็กๆกันค่ะ ลูกนอนกรนหายใจเสียดังส่งผลเสียต่อตัวเด็กหรือไม่และมีวิธีแก้ไขปัญหาการนอนกรนอย่างไร ตามแอดมินมาเลยค่ะ

    ภาวะนอนกรนในเด็ก คือลักษณะการหายใจเสียงดังที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ โดยพบว่าในปัจจุบันเด็กมีภาวะการนอนกรนที่มีอันตรายมากขึ้นถึง 10% จากเด็ก 20% และเด็กที่สุขภาพดีมากมีแค่ 2% เท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะพบในเด็กอายุ 2 – 6 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้จะมีต่อมทอมซิลและต่อมอะดีนอยด์ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับจนเกิดเสียงกรนที่เป็นภาวะอันตราย ซึ่งจะทำให้คุณภาพการนอนหลับของเด็กต่ำลง ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ รวมถึงมีปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

    สาเหตุการนอนกรนในเด็ก
    สาเหตุการนอนกรนในเด็ก

    สาเหตุของการนอนกรนในเด็กพบหลายสาเหตุด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น

    • เด็กมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต จนทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจของเด็ก เกิดการสั่นสะเทือนของโครงสร้างระบบทางเดินหายใจทำให้เกิดเสียงกรน
    • อาการแน่นจมูกเรื้อรังหรือจมูกอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เป็นต้น รวมถึงมีปัญหาโรคปอดเรื้อรัง
    • ความผิดปกติแต่กำเนิดของโครงกระดูกหน้า เช่น เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
    • เด็กที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จนทำให้ไขมันรอบคอ กดทับทางเดินหายใจ
    • พันธุกรรม โดยที่พ่อหรือแม่ของเด็กมีอาการนอนกรนด้วยเช่นกัน

    การนอนกรนในเด็กเป็นอันตรายหรือไม่ และส่งผลเสียอย่างไร
    การนอนกรน หากเกิดการหยุดหายใจในขณะหลับซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากจะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำลง ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียง ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดมากขึ้น เพื่อไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย และถ้าปล่อยให้เด็กมีภาวะแบบนี้นานๆ เด็กก็จะมีอาการหัวใจโต และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เมื่อนอนหลับได้ไม่เพียงพอจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การเรียนรู้ พัฒนาการด้านต่างๆ และการเจริญเติบโตของเด็ก

    การดูแลลูกนอนกรนเบื้องต้น

    • ปรับพฤติกรรม การนอนและในเด็กที่มีโรอ้วน เช่น การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาสม่ำเสมอ ปรับท่อนอนในท่าตะแคงเพื่อลดอาการกรนลง การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเป็นประจำ
    • ในกรณีที่เด็กมีอาการน้ำมูกไหล ซึ่งน้ำมูกจะยิ่งเข้าไปอุดตัน ทำให้เด็กหายใจทางจมูกลำบาก คุณพ่อคุณแม่ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้น้ำมูกเพิ่มขึ้น
    • ทำความสะอาดที่อยู่อาศัย ที่นอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดอัตราการระคายเคืองจมูกที่มากับฝุ่นละออง
    • ในรายที่มีอาการหยุดหายใจร่วมด้วย ควรรีบพาไปแพทย์ทันที เพราะอาจจะต้องใส่เครื่องครอบเพื่อช่วยหายใจตอนนอน
    • ในบางรายอาจต้องมีการให้ยาอื่นๆจะต้องมีคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น

    การสังเกตความผิดปกติเมื่อลูกนอนกรน

    • มีอาการหายใจติดขัด หายใจลำบาก หรือหรือมีการหยุดหายใจไปชั่วขณะ
    • อาการสะดุ้งตื่นหลังเสียงกรน หรือเสียงกรนเฮือกเหมือนคนขาดอากาศหายใจ
    • ปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยควบคุมได้มาก่อน เด็กมีอาการง่วงนอนเหมือนนอนไม่พอง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน หงุดหงิดง่ายและพฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยรวดเร็ว
    • เหงื่อออกง่าย และหายใจเหนื่อยหอบตอนหลับ หน้าอกบุ๋ม คอบุ๋ม และท้องโป่ง
    • มีปัญหาทางพฤติกรรม สมาธิสั้นอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ

    วิธีการรักษาภาวะนอนกรนในเด็ก

    • การรักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดินอยด์โตซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยทำให้เกิดการอุดกั้นระบบทางเดินหายใจ โดยแพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลและต่อมอะดินอยด์ออกพบว่าช่วยรักษาการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับได้ถึง 75 – 100%
    • การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศ คือการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นในผู้ป่วยเด็กที่รักษาโดยการผ่าตัดไม่ได้ หรือ เมื่อรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแล้วไม่หาย โดยการใช้เครื่องอัดอากาศชนิดแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) เป็นหน้ากากอันเล็กครอบบริเวณจมูกในระหว่างการนอนหลับ เพื่อประคับประคองไม่ให้ทางเดินหายใจส่วนบนปิดในขณะหลับ
    • การรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก ในเด็กที่มีโรคอ้วนน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน แพทย์อาจแนะนำให้ลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆร่วมด้วย

    การนอนกรนในเด็กส่งผลเสียและเป็นอันตรายไม่แพ้กับผู้ใหญ่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป นอกจากนี้ก็ควรดูแลและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็จะทำให้อาการต่างๆ ของโรคดีขึ้นได้ เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญความดูแลและใส่ใจค่ะ

  • ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในทารก

    ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในทารก

    ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในทารก
    ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในทารกคืออะไรและเป็นอันตรายต่อลูกน้อยหรือไม่ แอดมินจะพาคุณแม่มาหากันค่ะ ตามแอดมาเลยจ้า

    ภาวะท่อน้ำตาอุดตันหรือท่อระบายน้ำตาอุด เป็นอีกปัญหาที่พบบ่อยมากในทารกแรกเกิดค่ะ เป็นการอุดตันของท่อระบายน้ำตา โดยปกติทารกแรกเกิดจะมีเยื่อบางๆ ที่ปิดอยู่ที่ปลายท่อน้ำตา ซึ่งส่วนมากเยื่อนี้จะหายไปเองเมื่ออายุประมาณ 1 เดือน ถ้าหากเยื่อบางๆนั้นไม่หลุดออกไปจะทำให้เกิดการอุดตันที่ปลายท่อน้ำตาค่ะ นอกจากนี้ยังเกิดได้จากการอักเสบของเยื่อบุตา เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุดท่อระบายน้ำตา ท่อน้ำตาอุดตันในทารกโดยทั่วไปโรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงค่ะโดยตามธรรมชาติแล้วมักจะมีอาการดีขึ้นเองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย ในบางกรณีที่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาการที่เป็นอยู่ก็ไม่สามารถหายได้เองและเกิดการติดเชื้อบริเวณทางเดินน้ำตา ซึ่งอาจลุกลามเข้าไปในเยื่อบุตาและกระจกตา ทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบและกระจกตาอักเสบได้ค่ะ

    สาเหตุของท่อน้ำตาอุดตัน ในเด็กทารกที่มีภาวะท่อน้ำตาอุดตัน ส่วนใหญ่มักเกิดจากลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาไม่เปิดโดยมีพังผืดบางๆมาขวางอยู่ ซึ่งปกติแล้วพังผืดนี้จะทะลุออกเองได้ในช่วงครบกำหนดคลอดหรือหลังเมื่ออายุประมาณ 1 เดือน ถ้าหากได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง เมื่อน้ำตาที่ขังอยู่ในตานานๆ มีเชื้อโรคเข้ามาเจริญเติบโตก็จะเกิดการติดเชื้อ ซึ่งอาจลุกลามต่อไปและเข้าไปในเยื่อบุตาและกระจกตา ทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบและกระจกตาอักเสบได้

    ภาวะท่อน้ำตาอุดตันแต่กำเนิด

    อาการท่อน้ำตาอุดตัน คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ลูกน้อยอายุ 2-3 สัปดาห์ หลังคลอด ลูกจะมีตาแฉะ มีน้ำตาคลอในตาข้างที่อุดตันตลอดเวลาเหมือนคนร้องไห้ใหม่ๆ(อาการเป็นกับตาเพียงข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้) น้ำตาไหลมากทั้งๆที่ไม่ได้ร้องไห้ ซึ่งในตอนแรก อาการตาแฉะจะมีเพียงน้ำตาใสๆ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะพบว่าเด็กบางคนจะเริ่มมีขี้ตาเป็นสีเขียวมากขึ้น มีหนองบริเวณรอบตา เปลือกตาตาบวมแดง ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อค่ะ

    การรักษาท่อน้ำตาอุดตันในทารก คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกมาพบกุมารแพทย์หรือจักษุแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยภาวะท่อน้ำตาอุดตัน หากตรวจพบว่ามีการอุดดันขอท่อน้ำตา ในเบื้องต้นคุณหมอจะให้ยาป้ายตาปฏิชีวนะหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะถ้ามีการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้นมาใช้ร่วมกับการสอนให้คุณแม่นวดตาตรงบริเวณถุงน้ำตาบ่อยๆ โดยการใช้นิ้วกดลงไปบริเวณหัวตากับสันจมูก พยายามเอียงนิ้วมาทางดั้งจมูก วนนิ้วลงน้ำหนักเบาๆ เป็นวงกลมแล้วลากลงตามสันข้างจมูกให้แรงลงมาตามลำท่อน้ำตา หากนวดหัวตาเพื่อเปิดท่อน้ำตาได้ถูกวิธีจะมีน้ำตาเหนียวๆที่อุดตันอยู่หลุดออกมา คุณแม่สามารถนวดรอบละหลายๆ ครั้ง หรือวันละหลายๆ รอบได้เลยค่ะ ซึ่งโดยทั่วไป 80-90% จะหายเป็นปกติ หากยังไม่หายในช่วงขวบปีแรก แพทย์จะใช้วิธีการแยงท่อน้ำตา ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักหายขาด ในกรณีที่ลูกอายุมากกว่า 3 ปี การแยงท่อน้ำตาอาจไม่หายจาก โรคท่อน้ำตาอุดตันในเด็ก แพทย์จะใช้วิธีการผ่าตัดทางระบายน้ำตาใหม่ค่ะ

    คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ภาวะท่อน้ำตาอุดตันในทารกไม่มีผลต่อสายตาของลูกค่ะ แต่ถ้าหากพบว่าทารกมีภาวะน้ำตาไหลออกมาก ตากลัวแสง เด็กจะหลับตาเวลาเจอแสง คุณพ่อคุณแม่จึงต้องนำเด็กพบจักษุแพทย์/หมอตา เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ