Tag: การรักษา

  • โรคชิคุนกุนยาในเด็ก

    โรคชิคุนกุนยาในเด็ก

    โรคชิคุนกุนยาโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โรคในเด็กใกล้ตัวที่มีอาการคล้ายกับโรคไข้เลือดออก ช่วงฤดูฝนควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษค่ะ และการดูแลป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ เพราะเราเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องการจะเห็นลูกเจริญเติบโตแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย สุขภาพ และจิตใจในแต่ละช่วงวัย ดังนั้นบทความนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคชิคุนกุนยาในเด็ก อาการ การรักษา และวิธีการป้องกันโรคค่ะ

    โรคชิคุนกุนยา(Chikungunya) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีการแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝน โดยมีอาการคล้ายกับโรคไข้เลือดออกแต่โรคชิคุนกุนยามีความรุนแรงน้อยกว่าโรคไข้เลือดออกและมีอาการปวดข้อเรื้อรังต่อเนื่องซึ่งอาจนานเป็นเดือนค่ะ ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีการวินิจฉัยโรคผิดว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้เช่นกันค่ะ

    อาการโรคชิคุนกุนยาในเด็ก

    โรคชิคุนกุนยาในเด็ก มีระยะฟักตัวของโรค 2 – 5 วันหลังจากโดนยุงลายที่มีเชื้อชิคุนกุนยากัด อาการโรคชิคุนกุนยาในเด็กที่พบบ่อยได้แก่ มีไข้สูงนาน 2 – 7 วัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อและปวดในข้อต่อพร้อมอาการบวม ข้อต่อติดขัด เจ็บปวดตามข้อมือและข้อเท้า มีผื่นคัน ท้องเสีย ตาแดง ตาอ่อนล้า หวดกระบอกตา ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนส่งผลต่อตับ ไตและหัวใจ

    การรักษาโรคชิคุนกุนยาในเด็ก

    การรักษาโรคชิคุนกุนยาในเด็กไม่มีการรักษาหรือวัคซีนเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับชิคุนกุนยา การรักษาจึงเป็นการตามอาการ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำมากๆป้องการร่างกายขาดน้ำ การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อช่วยให้เด็กๆฟื้นตัวจากโรคชิคุนกุนยาได้เร็วขึ้นค่ะ รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

    การป้องกันโรคชิคุนกุนยาในเด็ก

    การป้องกันโรคชิคุนกุนยา คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันลูกน้อยห่างไกลจากโรคได้ดังนี้

    • การดูแลรักษาความสะอาดบ้าน จัดบ้านให้โปร่งโล่งไร้มุมอับทึบเพื่อป้องกันการเกาะอาศัยของยุงลาย
    • กำกัดแหล่าเพาะพันของยุงลายในบริเวณบ้าน เพื่อป้องการการวางไข่ของยุงลาย เช่น น้ำนิ่งขัง เศษขยะ กระถางต้นไม้ เป็นต้น
    • ควรนอนกางมุ้งแม้ในเวลากลางวัน เนื่องจากยุงลายจะมีลักษณะการออกหากินในเวลากลางวัน ชอบอยู่ในบริเวณอับทึบ
    • สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อนมิดชิด เนื่องจากยุงลายชอบอยู่ในบริเวณอับทึบค่ะ
    • ทาโลชั่นกันยุงที่ปลอดภัยต่อเด็ก หรือน้ำมันยูคาลิบตัส น้ำมันตะไคร้หอม
  • โรคไส้เลื่อนในทารก เป็นได้ทั้งชายและหญิง

    โรคไส้เลื่อนในทารก เป็นได้ทั้งชายและหญิง

    โรคไส้เลื่อนในทารก เป็นได้ทั้งชายและหญิง

    โรคไส้เลื่อนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเกิดในผู้ชายแต่คุณรู้หรือไม่ว่า โรคไส้เลื่อนในเด็กเกิดได้ทั้งในเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นได้ตั้งแต่เด็กเล็กค่ะ และจะมีวิธีการสังเกตอาการอย่างไร บทความนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกันค่ะ

    โรคไส้เลื่อนในทารกคืออะไร

    โรคไส้เลื่อนในทารก คือภาวะที่ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งเดิมดันตัวเป็นก้อนนูนหรือตุงออกมาตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของผนังหน้าท้องหรือบริเวณอุ้งเชิงกราน ไส้เลื่อนสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเหตุผลเฉพาะค่ะ เมื่อความดันในช่องท้องทำให้ไส้เลื่อนสามารถนูนออกมาและอาจหายไปเมื่อความดันถูกปล่อยออกมา ไส้เลื่อนในทารกส่วนใหญ่พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงและพบมากที่สุดได้แก่ ไส้เลื่อนสะดือและไส้เลื่อนขาหนีบโดยมีสาเหตุ อาการและการรักษาดังนี้

    ไส้เลื่อนบริเวณสะดือ

    ไส้เลื่อนสะดือคือไส้เลื่อนชนิดที่เกิดขึ้นรอบๆสะดือทำให้สะดือเป็นก้อนนูนขนาด 2 – 6 เซนติเมตร เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องของเด็กทารกยังไม่แข็งแรงการพัฒนาไม่สมบูรณ์ จะพบบ่อยเมื่อเวลาร้องไห้ท้องจะผลักออกมา ไส้เลื่อนบริเวณสะดือส่วนใหญ่มักจะหายไปเองเนื่องจากช่องว่างในผนังกล้ามเนื้อถูกปิดลงเมื่อโตขึ้น ยกเว้นในบางรายที่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ อาเจียน หน้าท้องโป่ง เป็นต้น ซึ่งต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นต่อไป การผ่าตัดไส้เลื่อนบริเวณสะดือเมื่อผ่าตัดเสร็จแล้ว ทารกสามารถกลับบ้านได้เลยภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการผ่าตัดสะดือ การดูแลคุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาความสะอาดมากเป็นพิเศษค่ะ

    ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ

    ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ เป็นการยื่นออกมาของส่วนหนึ่งของลำไส้หรือเยื่อหุ้มเซลล์จากช่องท้อง ซึ่งอาจขยายเกินกว่าขาหนีบ เนื่องจากกล้ามเนื้อในบริเวณขาหนีบของทารกไม่ได้รับการพัฒนาเพียงพอ หรือไม่สามารถรับแรงกดของช่องท้องได้ ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบก้อนนูนจะไม่หายไปและยังคงเป็นก้อนตุงตลอดเวลา อาการที่พบได้แก่ บริเวณขาหนีบบวมเป็นก้อนเนื้อแข็ง เจ็บปวด อาเจียน ร้องไห้งอแงจากอาการเจ็บ เป็นต้น การรักษาไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบด้วยการผ่าตัด เพื่อผลักลำไส้กลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม ผนังกล้ามเนื้อจะถูกเย็บเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

    โรคไส้เลื่อนในทารกเป็นภาวะที่ทำให้ลูกของคุณรู้สึกเจ็บปวดมากถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงในเด็ก แต่การรู้และสามารถระบุอาการของโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆก็จะทำให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะสุขภาพของลูกเป็นสิ่งสำคัญ…

  • ทารกตาแฉะ ขี้ตาเยอะอันตรายหรือไม่

    ทารกตาแฉะ ขี้ตาเยอะอันตรายหรือไม่

    ทารกตาแฉะ ขี้ตาเยอะอันตรายหรือไม่

    สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่สงสัยหรือไม่ว่าทำไม่ทารกตาแฉะ ขี้ตาเยอะและจะเป็นอันตรายหรือไม่ วันนี้เราจะพามาหาคำตอบกันค่ะ รวมถึงวิธีการดูแลดวงตาลูกน้อยค่ะ

    ทารกช่วงอายุ 1-3 เดือนหลังคลอดในบางรายอาจพบว่ามีขี้ตาเยอะ อาการตาแฉะหรือน้ำตาไหล โดยสาเหตุที่พบบ่อยคือทารกมีท่อน้ำตาที่แคบทำให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำตา หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระหว่างการคลอด โดยอาจเป็นเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างค่ะและอาการที่พบ ได้แก่ มีของเหลวสีเหลืองหรือสีขาวที่มุมของดวงตาและอาจเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ อาจมีรอยแดงเล็กน้อยและเกิดการอักเสบรอบหรือใต้ตา หรือมีน้ำตาไหลซึ่งอาจเป็นผลมาจากการฉีกขาดของท่อน้ำตาค่ะ เป็นต้น นอกจากนี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ สิ่งแปลกปลอมเข้าตา เป็นต้น

    การดูแลลูกน้อยเมื่อมีอาการตาแฉะหรือขี้ตาเยอะ โดยที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ที่บ้านได้แก่

    1. การทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นที่ต้มสุก ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยมีขั้นตอนดังนี้

    • ล้างมือคุณพ่อหรือคุณแม่ให้สะอาดก่อนการทำความสะอาดรอบดวงตาของลูกน้อย
    • นำสำลีชุบน้ำอุ่นที่ต้มสุกแล้วบีบสำลีหมาดๆ เริ่มต้นเช็ดจากหัวตาไปหางตาเบาๆ
    • เปลี่ยนสำลีใหม่และทำซ้ำจนกว่าขี้ตาของลูกน้อยจะหมดค่ะ
    • ควรเช็ดวันละ 2 – 3 ครั้ง หรือเวลาที่ลูกน้อยมีขี้ตาเยอะหรือตาแฉะ

    2. การนวดหัวตา เป็นการนวดบริเวณที่อยู่ใกล้กับดวงตาและจมูกเบาๆอย่างน้อยรอบละ 20-30 ครั้ง ซึ่งจะช่วยในการเปิดท่อน้ำตาที่ถูกปิดกั้นอยู่และควรนวดอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน

    3. ยาป้ายตาปฏิชีวนะหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ การใช้ยาเพื่อรักษาอาการตาแฉะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของกุมารแพทย์อย่างเคร่งครัดไม่ควรซื้อยามาหยอดให้ลูกเองเด็ดขาดค่ะ

    4. การผ่าตัดหรือการแยงท่อน้ำตา ในเด็กบางรายที่มีอาการรุนแรงหรือการดูแลรักษาเบื้องต้นแต่ไม่หาย แพทย์จะทำการผ่าตัดหรือการแยงท่อน้ำตาเพื่อแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน

    5. การใช้น้ำนมแม่หยอดตา ซึ่งเป็นวิธีที่ทางการแพทย์ไม่มีข้อมูลสนับสนุนการใช้น้ำนมแม่หยอดตา แต่มีคุณแม่หลายท่านที่มีประสบการณ์จำนวนมากใช้น้ำนมแม่ เพื่อเช็ดสิ่งสกปรกที่ตกค้างออกจากดวงตาของลูกน้อยค่ะ

    ภาวะตาแฉะหรือขี้ตาเยอะในเด็กทารกส่วนใหญ่จะไม่ร้ายแรงและสามารถรักษาได้เองด้วยการหมั่นทำความสะอาดค่ะ และอาการตาแฉะหรือขี้ตาเยอะในเด็กอันตรายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรคค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการและดูแลดวงตาของลูกน้อย หากพกอาการผิดปกติหรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

  • โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนในเด็ก อันตรายใกล้ตัวลูกน้อยอาการคล้ายโรคหวัดค่ะ โรคไอกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยค่ะ แต่มีความรุนแรงหากเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณเสียงเสียชีวิตได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหร้อมกับวิธีการป้องกัน ดูแลรักษาโรคไอกรนในเด็กค่ะ

    โรคไอกรน คือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส ทำให้เกิดอาการไอรุนแรงอย่างต่อเนื่อง หายใจลำบาก ลักษณะอาการทั่วไปจะคล้ายกับโรคไข้หวัดทั่วไป โรคไอกรนสามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งละอองของเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วยจากการไอ จาม รวมถึงการใกล้ชิดการหายใจร่วมกับผู้ป่วย โรคไอกรนในเด็กที่พบบ่อยมักเกิดจากการได้รับวัคซีนป้องกันที่ยังไม่ครบ หรือในบางรายอาจยังไม่เคยได้รับวัคซีน รวมถึงติดจากบุคคลใกล้ชิด โรคไอกรนในทารกและเด็กอันตรายเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตค่ะ

    อาการโรคไอกรนในเด็ก

    โรคไอกรนมระยะฟักตัว 5-10 วันหลังจากได้รับเชื้อหรือในบางรายอาจนานกว่านั้น อาการของโรคไอกรนในเริ่มแรกอาจคล้ายกับโรคไข้หวัด เช่น มีน้ำมูกไหล ไอจาม ไอเล็กน้อยหรือในบางรายไม่แสดงอาการไอ เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีอาการไอต่อเนื่องรุนแรงเป็นเวลานาน ทำให้หายใจลำบาก ในบางรายไอจนริมฝีปากเขียว ตัวเขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือไอจนหยุดหายใจซึ่งเป็นอันตรายเสี่ยงเสียชีวิตได้ค่ะ เช่น  ภาวะหยุดหายใจชั่วคราว โรคปอดบวม โรคกลุ่มอาการทางสมอง การติดเชื้อที่ปอด เป็นต้น

    การรักษาโรคไอกรนในเด็ก

    การรักษาโรคไอกรนในเด็กนั้นเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อประคับประคองอาการและลดการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งแพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ ทานยาให้ครบตามกำหนอ ฯลฯ

    การป้องกันโรคไอกรน

    โรคไอกรนในเด็กสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยเด็กจะเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 18 เดือน และเข็มที่ 5 เมื่ออายุ 4-6 ขวบ และฉีดอีกครั้งตอนอายุ 10-12 ขวบ และหลังจากนั้นควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปีค่ะ รวมถึงการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดีค่ะ

    ปัจจุบันโรคนี้พบได้น้อยมากเนื่องจากมีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไอกรนค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเจ็บป่วยทุกครั้งจะไม่รุนแรงหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆคือกุญแจสำคัญในการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

  • ลูกสะอึกบ่อย อันตรายหรือไม่

    ลูกสะอึกบ่อย อันตรายหรือไม่

    ลูกสะอึกบ่อย อันตรายหรือไม่

    ลูกสะอึกบ่อยอันตรายหรือไม่ อีกหนึ่งปัญหากวนใจสร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นวันนี้เราจะพามาหาคำตอบเกี่ยวกับการสะอึกในเด็กเล็กเกิดจากอะไร และมีวิธีการรักษาอย่างไร

    การสะอึกเป็นเรื่องปกติที่มักเกิดขึ้นกับทุกคนรวมถึงราทกก็มีอาการสะอึกเช่นกันค่ะ อาการสะอึกเกิดจากกล้ามเนื้อกะบังลมสะท้อนกลับของซี่โครงทำงานไม่สัมพันธ์กับการหายใจ โดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือเป็นอันตรายต่อตัวลูกน้อย การสะอึกทิ้งไว้สักพักอาการก็จะหายไปเองค่ะ และเมื่ออวัยวะระบบการทำงานของร่างกายเติบโตจนโตเต็มที่อาการสะอึกจะลดลงตามธรรมชาติค่ะ

    สาเหตุของอาการสะอึก สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุซึ่งแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

    1. อาการสะอึกแบบปกติ เกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การกินอาหารหรือนมมากเกินไป หรือในปริมาณมากเกินไป รวมถึงการประทานอาหารที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันรวดเร็วมากเกินไป ส่งผลให้ท้องอืดและกะบังลมถูกบังคับให้กระตุก เป็นต้น
    2. อาการสะอึกแบบไม่ปกติ มักเกิดจากการเจ็บป่วยโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด ภาวะแทรกซ้อนของโรคหอบหืดในทารกทำให้เกิดอาการสะอึก ภาวะกรดไหลย้อนในเด็กซึ่งกระตุ้นกระบังลมให้หดตัวอย่างรวดเร็ว ฯลฯ การสะอึกในรูปแบบนี้ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

    การรักษาหรือบรรเทาอาการสะอึกในเด็ก
    อาการสะอึกสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งและนานกว่าสิบนาทีต่อครั้งค่ะ และการรักษาอาการสะอึกหรือบรรเทาอาการสะอึกในเด็ก สามารถทำได้ดังนี้

    • อาการสะอึกหยุดเองโดยธรรมชาติ อาการสะอึกโดยทั่วไปสามารถหายได้เองค่ะ แต่หากพบว่าลูกน้อยมีอาการติดต่อกันหลายวัน หายใจไม่ออก ควรพาลูกน้อยพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของการสะอึกที่ผิดปกติค่ะ
    • กรณีมีอาการสะอึกหลังกินนมคุณแม่ควรอุ้มลูกน้อยเพื่อให้เรอค่ะ ซึ่งจะช่วยให้สบายท้องลดอาการท้องอืดได้ค่ะ
    • กรณีที่ลูกน้อยมีอาการสะอึกที่ผิดปกติ เช่น สะอึกติดต่อกันนานกว่า 3 ชั่วโมง หรือสะอึกจนไม่สามารถกินนมได้ หายใจไม่ออก หรือร่วมกับการอาเจียน ควรรีบพบแพทย์ทันที

    การป้องกันอาการสะอึกในเด็กทารก
    เนื่องจากอาการสะอึกของทารกมีความหลากหลายของตัวกระตุ้นจึงค่อนข้างยากที่จะหลีกเลี่ยงค่ะ แต่สามารถทำได้เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอาการสะอึก ดังนี้

    • หลังจากให้ลูกทานนมแล้ว ควรให้ลูกเรอทุกครั้งเพื่อลดลมในกระเพาะอาหาร
    • หลีกเลี่ยงการให้อาหารมากไป เนื่องจากการให้อาหารมากเกินไปเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการสะอึกที่พบในเด็ก
    • หลีกเลี่ยงการใช้จุกนมหลอกหรือการใช้ขวดนม เพื่อลดการดูดลมเข้ากระเพาะมากเกินไป
    • การนวดหลังลูกน้อยเป็นประจำจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อกะบังลม

    ดังนั้นอาการสะอึกเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกช่วงวัยค่ะ ไม่ใช่โรคร้ายแรงไม่เป็นอันตราย และสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอาการสะอึกในเด็กได้ แต่ถ้าหากมีอาการสะอึกเรื้อรังหรือปรากฏขึ้นพร้อมกับอาการอื่นๆ ควรรีบพบแพทย์ทันทีค่ะ

  • อาการแพ้ไข่ในเด็ก

    อาการแพ้ไข่ในเด็ก

    อาการแพ้ไข่ในเด็ก

    การแพ้ไข่นั้นคล้ายกับการแพ้อาหารอื่นๆ เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของทารกแสดงต่อโปรตีนในไข่ภายในไม่กี่นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากการบริโภคไข่เข้าไปค่ะ และจะทราบได้อย่างไรว่าลูกน้อยแพ้ไข่หรือไม่ วันนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาหาคำตอบกันค่ะ

    การแพ้ไข่นั้นคล้ายกับการแพ้อาหารอื่นๆ เช่น การแพ้โปรตีนนมวัว การแพ้ถั่ว เป็นต้น การแพ้ไข่ในเด็กเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อไข่ผ่านกลไกทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น อาการน้ำมูกไหล การอักเสบและผื่นที่ผิวหนัง เด็กสามารถเกิดอาการแพ้ไข่ได้ทุกรูปแบบ ไข่มีโปรตีนหลายชนิดที่สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ซึ่งพบว่าการแพ้โปรตีนในไข่ขาวมากกว่าโปรตีนในไข่แดง และปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ไข่ ได้แก่

    • โรคภูมิแพ้ทั่วไป หากเด็กที่มีการแพ้อาหารอื่นๆทำให้มีโอกาสแพ้ไข้ได้เช่นกันค่ะ
    • ความบกพร่องทางพันธุกรรม หากคุณพ่อคุณแม่หรือคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไข้ ทำให้เด็กมีโอกาสการแพ้ไข้ได้ถึง 40%

    อาการของภูมิแพ้ไข่ในเด็ก
    โรคภูมิแพ้ไข่ในเด็กมักจะแสดงอาการต่างๆ ดังนี้

    • ผื่นบนผิวหนัง บวมแดง ผื่นแพ้ไข่ในทารกเป็นหนึ่งในอาการที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
    • อาการบวมและของตา ริมฝีปาก ลิ้นบวมและแดง น้ำมูกไหล ซึ่งมักเป็นอาการแรกที่สามารถสังเกตเห็นถึงอาการแพ้
    • คออาจแดงและบวม ซึ่งอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการกลืนและหายใจ
    • คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดท้อง ในเด็กบางรายอาจพบอาการปวดท้องร่วมกับอาการท้องเสีย
    • ในเด็กบางราย อาจเกิดการแพ้อย่างรุนแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็วการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การสูญเสียเลือดไปยังสมองทำให้เกิดการช็อคหมดสติได้

    การวินิจฉัยอาการแพ้ไข่ในทารก
    การวินิจฉัยเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์อาหาร ประวัติของโรคภูมิแพ้และโรคอื่นๆ ดังนี้

    • การปรับเปลี่ยนอาหาร โดยแพทย์จะทำการเลือกอาหารที่ต้องสงสัยทั้งหมดที่สามารถทำให้เกิดการแพ้จากอาหารของทารก เพื่อหาปฏิกิริยาการแพ้
    • การทดสอบโดยหยดสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง โดยแพทย์จะวางสารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้เล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ ทิ่มผิวหนัง หากผิวหนังบริเวณที่ทดสอบสารก่อภูมิแพ้ชนิดใดแสดงจุดสีแดงภายใน 20 นาทีของการทดสอบ แสดงว่าลูกน้อยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นๆ
    • การตรวจเลือด เพื่อทำการตรวจหาแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ไข่

    การรักษาอาการแพ้ไข่ในทารก
    การรักษาโรคภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปฏิกิริยาการแพ้ที่เกิดขึ้น เช่น การทานยาแก้แพ้จะใช้ในการรักษาอาการไม่รุนแรง หากมีอาการแพ้แบบเฉียบพลันรุนแรงต้องได้รับยาฉีดอิพิเนฟริน(Epinephrine) หรืออะดรีนาลีน(Adrenaline) ซึ่งสามารถฉีดได้ด้วยตัวเอง และไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม

    อาหารทดแทนไข่ในกรณีที่เด็กมีอาหารแพ้ไข่ ได้แก่ เนื้อจากสัตว์ปีกเป็นสิ่งทดแทนไข่ได้ดี เป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุในอาหารเพื่อช่วยให้ทารกเจริญเติบโตได้ดี นมถั่วเหลืองเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตสและแพ้ไข่ พืชตระกูลถั่ว เป็นต้น

    อาการแพ้ไข่สามารถหายได้หรือไม่
    การแพ้ไข่สามารถรักษาได้ค่ะ และเด็กส่วนใหญ่ที่แพ้ไข่จะมีอาการดีขึ้นเมื่อโตขึ้น หรืออาจไม่แพ้ไข่อีกเลยก็ได้ค่ะ ในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ลูกทานนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรกเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูกน้อยลดการเกิดโรคภูมิแพ้ต่างๆได้ค่ะ

  • โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก

    โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก

    โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก

    การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI : Urinary Tract Infection) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในทางเดินปัสสาวะส่วนบนหรือส่วนล่างจากผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ หรือทวารหนักผ่านทางปัสสาวะหรือกระแสเลือด และแพร่เข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะหรือไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็กมักพบในเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย เนื่องจากอวัยวะใกล้กับทวารทำให้มีแนวโน้มในการติดเชื้อมากกว่าค่ะ สาเหตุเกิดจากอะไรและมีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร เรามีข้อมูลที่น่าสนใจมากค่ะ

    อะไรที่ทำให้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก
    การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมักพบในเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชายค่ะ โดยมีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคดังนี้

    • อุจจาระที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากผ้าอ้อมสัมผัสท่อปัสสาวะ
    • การเช็ดก้นโดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงเมื่อเช็ดจากหลังไปด้านหน้า
    • อาการท้องผูกบางครั้งอาจนำไปสู่การบวมของลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างแรงกดดันต่อกระเพาะปัสสาวะและป้องกันไม่ให้ตะกอนไหลออกมา
    • ความผิดปกติทางด้านรูปร่างของไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ
    • Vesicoureteral reflux ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับเป็นภาวะที่ปัสสาวะไหลย้อนกลับจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นสู่ท่อไตหรือไต ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำๆซึ่งเป็นอันตรายต่อไตในระยะยาวได้ค่ะ

    อาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก เนื่องจากเด็กๆยังไม่สามารถอธิบายถึงอาการที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ดังนี้

    • มีไข้โดยไม่มีอาการอื่นๆและไม่ทราบสาเหตุ
    • อาเจียน เบื่ออาหาร ถ่ายเหลว
    • ปัสสาวะขุ่นมัวหรือสีแดง มีกลิ่นแปลกๆ
    • ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะไม่สุด
    • ร้องไห้ขณะปัสสาวะบ่งบอกถึงความเจ็บปวด แสบร้อน

    หากพบอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคและทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

    การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก
    การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจึงใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา ซึ่งเป็นไปตามความเหมาะสมกับสภาวะการติดเชื้อและความรุนแรงของเด็กแต่ละคน ระยะเวลาในการรักษา 7-14 วัน ในกรณีที่มีการอุดตันของท่อปัสสาวะอาจต้องทำการผ่าตัดค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดซ้ำของโรคได้ค่ะ

    การป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
    การป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็กสามารถทำได้ดังนี้

    • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
    • เด็กผู้หญิงการทำความสะอาดควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
    • เด็กผู้ชายควรทำความสะอาดบริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
    • ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเพื่อป้องกันการท้องผูก

    การเจ็บป่วยของเด็กๆทุกครั้งควรรีบพบแพทย์ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีค่ะ หลากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะที่รุนแรงกับลูกของคุณได้

  • โรคลมแดดในเด็ก(Heat Stroke) ภัยร้ายหน้าร้อน

    โรคลมแดดในเด็ก(Heat Stroke) ภัยร้ายหน้าร้อน

    โรคลมแดดในเด็ก(Heat Stroke) ภัยร้ายหน้าร้อน

    สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อากาศร้อนระวังโรคลมแดด หรือ Heat Stroke เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตค่ะ วันนี้เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจพร้อมวิธีการรับมือค่ะ

    โรคลมแดด หรือที่เรียกว่า Heat Stroke เกิดจากอุณหภูมิรอบๆตัวที่สูงมาก ทำให้ระบบควบคุมอุณหภูมิของร่างกายล้มเหลว ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราสามารถปรับอุณหภูมิของร่างกายโดยอัตโนมัติ เพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอากาศรอบๆตัว เช่น เราเหงื่อออกเมื่ออากาศร้อนเพื่อให้ร่างกายเย็นลง เป็นต้น แต่โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของเรามักมีขีดจำกัดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเราสัมผัสกับอากาศร้อนมากเป็นเวลานาน ส่งผลให้เราเป็นลมแดดซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันค่ะ ควรเฝ้าระวังกลุ่มผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และเด็กเล็ก เนื่องจากร่างกายอาจปรับตัวไม่ทันและอาจสูญเสียน้ำจากความร้อนได้ง่ายค่ะ

    อาการโรคลมแดด(Heat Stroke) ที่พบโดยทั่วไปได้แก่ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ชีพจรเต้นแรง หายใจเร็ว กระหายน้ำมาก มึนงง เหงื่อไม่ออกแม้อากาศร้อน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียล มีอาการชัก และหมดสติเป็นลมได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลและแก้ไขอย่างถูกต้อง อาจทำให้เด็กหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ค่ะ

    การปฐมพยาบาลโรคลมแดด(Heat Stroke)
    การปฐมพยาบาลในเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะอันตรายที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ การปฐมพยาบาลเพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย ดังนี้

    • พาลูกเข้าไปในที่ร่ม(ถ้าอยู่นอกอาคาร) ซึ่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก
    • จับลุกนอนหงาย เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
    • ถอดเสื้อผ้าแล้วใช้ผ้าน้ำเย็นเช็ดตามส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายได้ระบายความร้อนและเย็นลง

    การป้องกันโรคลมแดดในเด็ก(Heat Stroke)
    วิธีการป้องกันง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาใช้ เพื่อป้องกันตัวเองและลูกน้อยจากโรคลมแดด ได้แก่

    • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านในช่วงที่อาการร้อนจัด
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ในอาคารหรือสถานที่ที่อาการร้อนจัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก
    • สวมใส่หมวกหรือกางร่มทุกครั้งที่ออกกลางแดดจัด
    • ในวันที่อากาศร้อนมากๆ ควรให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
    • สวมใส่เสื้อผ้าบางๆ สามารถระบายความร้อนได้ดี

    ช่วงนี้อากาศร้อนมากคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังมากเป็นพิเศษค่ะ เพราะไม่ใช่แค่โรคลมแดดเท่านั้นที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณ ยังมีโรคต่างๆที่มามีการระบาดในช่วงฤดูร้อนก็ต้องระวังด้วยเช่นกันค่ะ ดังนั้นการเข้าใจเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นวิธีที่ดีสุดค่ะ

  • ลูกปัสสาวะบ่อยผิดปกติหรือไม่

    ลูกปัสสาวะบ่อยผิดปกติหรือไม่

    สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตุการขับถ่ายของเจ้าตัวน้อยไหม มีลักษณะอย่างไร มีการขับถ่ายบ่อยเกินไปหรือไม่ บทความนี้เราจะพาไปหาคำตอบค่ะ

    ลูกปัสสาวะอย่างไรที่เรียกว่าบ่อย
    – เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ปัสสวะจำนวน 8 – 14 ครั้งต่อวัน
    – เด็กอายุ 6 – 8 ปี ปัสสวะจำนวน 6 – 12 ครั้งต่อวัน
    – เด็กอายุ 9 – 14 ปัสสวะจำนวน 6 – 8 ครั้งต่อวัน

    สาเหตุการปัสสาวะบ่อยในเด็ก
    ลูกปัสสาวะบ่อยๆคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านอาจคิดว่าเป็นเพราะลูกดื่มน้ำเยอะเกินหรือเปล่า ซึ่งอันที่จริงแล้วการปัสสาวะบ่อยๆนั้นมี 2 ปัจจัยหลักคือ ทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจค่ะ
    การปัสสาวะที่เกิดจากทางด้านร่างกาย เช่น

    • ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
    • ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้ปัสสาวะบ่อยครั้ง และมีอาการความเจ็บปวดร่วมด้วยค่ะ
    • การรับประทานยากลุ่มที่มีสารกระตุ้นการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ยาแก้แพ้บางกลุ่ม เป็นต้น
    • การดำเนินชีวิตประจำวัน การบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นฟองจำนวนมาก และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอาจทำให้ปัสสาวะบ่อยเช่นกันค่ะ
    • ท้องผูกหรือกลั้นอุจจาระ ในเด็กบางคนที่มีนิสัยไม่เข้าห้องน้ำหรือการกลั้นอุจจาระ ทำให้เกิดการกดทับบริเวณกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย

    การปัสสาวะที่เกิดจากทางด้านจิตใจ เช่น กรณีฝึกการขับถ่าย ซึ่งส่งผลให้เด็กมีความกังวล ไม่หมั่นใจหากปัสสาวะราดก็จะโดนดุ อายเพื่อนๆหรือคนรอบข้าง เป็นต้น

    การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปัสสาวะบ่อยในเด็กค่ะ ในกรณีที่เกิดความผิดปกติของร่างกายแพทย์จะทำการวินิจฉัยเพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ ซึ่งสามารถรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือหากเกิดจากทางด้านจิตใจ คุณพ่อคุณแม่ควรเพิ่มความหมั่นใจให้กับลูก ไม่ควรกดดันหรือทำโทษหากลูกปัสสาวะราดกางเกงค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจ และค่อยๆฝึกฝนเรื่องการขับถ่ายค่ะ อาการทั้งหมดก็จะหายไปเองค่ะ เราขอเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆที่กำลังฝึกฝนเรื่องของขับถ่านนะคะ

  • โรคดีซ่านในเด็ก

    โรคดีซ่านในเด็ก

    ดีซ่าน หรืออาการตัวเหลืองในเด็ก ถึงแม้จะไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรงและสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ แต่เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กตั้งแต่แรกเกิดและควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โรคดีซ่านโดยส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของตับ ระบบน้ำดี และเซลล์เม็ดเลือดแดง ดังนั้นเราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค อาการ การรักษา รวมถึงวิธีการป้องกันโรคค่ะ

    โรคดีซ่านในเด็กแรกเกิด คือลักษณะของเด็กที่มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเกิดจาการเพิ่มตัวของเม็ดสีผิว(มิลิรูบิน) นอกจากนี้ภาวะดีซ่านในเด็กสามารถเกิดจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่

    • ทารกคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากตับยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ทำให้ร่างกายไม่สามารถขับบิลิรูบินได้
    • ตับอักเสบจากการติดเชื้อ
    • โรคตับอักเสบซึ่งสามารถนำไปสู่โรคดีซ่านได้ค่ะ เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก
    • ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถขับบิลิรูบินออกจากร่างกายได้
    • ผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรีย โรคโลหิตจาง ภาวะเม็ดเลือดแดงป่องจากพันธุกรรม เป็นต้น
    • การรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ

    อาการของโรคดีซ่านในเด็ก

    อาการของโรคดีซ่านในเด็กที่มักแสดงให้เห็นคือ ผิวหนังและดวงตาเหลือง สีของปัสสาวะเข้ม และอุจจาระมีสีเหลืองซีดลง นอกจากนี้ยังพบอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่

    • มีไข้สูง หนาวสั่น
    • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    • คันผิวหนังมาก
    • เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
    • ปวดท้องรุนแรง อาจบ่งบอกถึงความไม่สมดุลของน้ำดี
    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ

    การรักษาโรคดีซ่านเป็นการรักษาตามสาเหตุของการเกิดโรค ป้องกันการเกิดซ้ำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ในกรณีที่เกิดจากการคลอดก่อนสามารถหายเองได้ด้วยการทานนมแม่ที่เพียงพอ และหายเองได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ กรณีเกิดจากโรคตับอักเสบ แพทย์จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาต้านไวรัส การรักษาภาวะท่อน้ำดีอุดตันด้วยการผ่าตัดแก้ไขระบบทางเดินน้ำดี เป็นต้น

    การป้องกันโรคดีซ่านในเด็ก

    การดูแลสุขภาพเป็นพื้นฐานของการป้องกันโรคต่างๆที่ดีที่สุดค่ะ เช่น การเลือกรับประทานอาการที่ครบ 5 หมู่ ถูกสุขลักษณะทางอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันโรคต่างๆในเด็กที่อาจเกิดขึ้นกับลูกของคุณได้ค่ะ