โรคไอกรนในเด็ก

โรคไอกรนในเด็ก

โรคไอกรนในเด็ก

โรคไอกรนในเด็ก อันตรายใกล้ตัวลูกน้อยอาการคล้ายโรคหวัดค่ะ โรคไอกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัยค่ะ แต่มีความรุนแรงหากเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณเสียงเสียชีวิตได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหร้อมกับวิธีการป้องกัน ดูแลรักษาโรคไอกรนในเด็กค่ะ

โรคไอกรน คือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส ทำให้เกิดอาการไอรุนแรงอย่างต่อเนื่อง หายใจลำบาก ลักษณะอาการทั่วไปจะคล้ายกับโรคไข้หวัดทั่วไป โรคไอกรนสามารถติดต่อกันได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งละอองของเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วยจากการไอ จาม รวมถึงการใกล้ชิดการหายใจร่วมกับผู้ป่วย โรคไอกรนในเด็กที่พบบ่อยมักเกิดจากการได้รับวัคซีนป้องกันที่ยังไม่ครบ หรือในบางรายอาจยังไม่เคยได้รับวัคซีน รวมถึงติดจากบุคคลใกล้ชิด โรคไอกรนในทารกและเด็กอันตรายเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตค่ะ

อาการโรคไอกรนในเด็ก

โรคไอกรนมระยะฟักตัว 5-10 วันหลังจากได้รับเชื้อหรือในบางรายอาจนานกว่านั้น อาการของโรคไอกรนในเริ่มแรกอาจคล้ายกับโรคไข้หวัด เช่น มีน้ำมูกไหล ไอจาม ไอเล็กน้อยหรือในบางรายไม่แสดงอาการไอ เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีอาการไอต่อเนื่องรุนแรงเป็นเวลานาน ทำให้หายใจลำบาก ในบางรายไอจนริมฝีปากเขียว ตัวเขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือไอจนหยุดหายใจซึ่งเป็นอันตรายเสี่ยงเสียชีวิตได้ค่ะ เช่น  ภาวะหยุดหายใจชั่วคราว โรคปอดบวม โรคกลุ่มอาการทางสมอง การติดเชื้อที่ปอด เป็นต้น

การรักษาโรคไอกรนในเด็ก

การรักษาโรคไอกรนในเด็กนั้นเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อประคับประคองอาการและลดการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งแพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ ทานยาให้ครบตามกำหนอ ฯลฯ

การป้องกันโรคไอกรน

โรคไอกรนในเด็กสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยเด็กจะเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, 18 เดือน และเข็มที่ 5 เมื่ออายุ 4-6 ขวบ และฉีดอีกครั้งตอนอายุ 10-12 ขวบ และหลังจากนั้นควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปีค่ะ รวมถึงการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดีค่ะ

ปัจจุบันโรคนี้พบได้น้อยมากเนื่องจากมีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไอกรนค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเจ็บป่วยทุกครั้งจะไม่รุนแรงหากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆคือกุญแจสำคัญในการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ