โรคหัดเยอรมัน(rubella)

โรคหัดเยอรมัน(rubella)

โรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมันในเด็กไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากโรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงที่เกิดกับคนทั่วไปและความรุนแรงน้อยกว่าหัดค่ะ สามารถป้องกันและรักษาได้ค่ะ อย่างไรก็ตามอาจเป็นอันตรายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ค่ะ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัดเยอรมัน สาเหตุ อาการและการรักษาโรคหัดเยอรมันค่ะ

โรคหัดเยอรมัน คืออะไร หัดเยอรมัน หรือในประเทศไทยเรียกว่า เหือด(Rubella) เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า รูเบลลา เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในสารคัดหลั่งน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โรคหัดเยอรมันมีความคล้ายคลึงกับโรคหัดหรือไข้ออกผื่น แต่มีความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าหัด สามารถติดต่อได้โดยการ ไอ จาม หรือหายใจรดกัน เช่นเดียวกับไข้หวัดหรือหัด ซึ่งมีระยะฟักตัว 14 – 21 วันหลังได้รับเชื้อไวรัส โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงมักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ถ้าในกรณีที่เกิดในคุณแม่ตั้งครรภ์ระยะ 3 – 4 เดือนแรก เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีอวัยวะต่างๆผิดปกติได้ตั้งแต่กำเนิดได้ค่ะ โรคหัดเยอรมันนี้เป็นแล้วจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกค่ะ

อาการของโรคหัดเยอรมันในเด็ก โรคหัดเยอรมันมีความคล้ายคลึงกับไข้หวัด โดยมีไข้ต่ำถึงปานกลาง ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ ท้ายทอย และหลังหู ร่วมกับมีผื่นเล็กๆสีแดง หรือสีชมพูอ่อนขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะลามลงมาตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เช่น แขน ขา และลำตัว โดยผื่นมักมีลักษณะกระจายตัว ซึ่งอาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ ในบางรายอาจมีผื่นขึ้นโดยไม่มีไข้หรือมีไข้โดยไม่มีผื่น ผื่นดังกล่าวจะค่อยๆจางหายภายใน 3 – 5 วัน โดยไม่ทิ้งรอยแผลจากผื่นทิ้งไว้ และในบางรายอาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น ปวดศรีษะ แสบตาเคืองตา ปวดเมื่อยตามร่างกายเล็กน้อย ไม่อยากอาหาร เป็นต้น อาการโดยทั่วไปมักไม่ค่อยรุนแรง และอาจไม่มีอาการแสดงใดๆเลยก็ได้ค่ะ

ภาวะแทรกซ้อนของหัดเยอรมัน โรคหัดเยอรมันเป็นการติดเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง และไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เนื่องจากได้รับการฉีดวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม แต่ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ เช่น โรคข้ออักเสบที่นิ้วมือ ข้อมือ นิ้วเท้า และหัวเข่า สมองอักเสบอาจพบได้บ้างแต่น้อยมาก

ควรระวังหากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ในช่วง 3 – 4 เดือนแรก ซึ่งอาจส่งผลทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ หรือมีอวัยวะต่างๆผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น ต้อกระจก ต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการแบบต่างๆ เด็กน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว สมองอักเสบ เป็นต้น หรือโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดในทารกเมื่อมารดาติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์

การรักษาหัดเยอรมัน โรคหัดเยอรมันไม่มีวิธีการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก โดยทั่วไปอาการของโรคจะไม่ร้ายแรงและมักดีขึ้นภายใน 7-10 วัน การรักษาในเด็กและผู้ใหญ่ทั่วไปที่ไม่ตั้งครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ เช่น ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ หากมีอาการคันให้ทายาแก้ผดผื่นคัน ในกรณีที่พบในหญิงตั้งครรภ์ระยะ 3 – 4 เดือนแรก หรือคุณแม่ตั้งครรภ์หากมีไข้ร่วมกับการมีผื่น หรืออยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหัดเยอรมัน แม้จะไม่มีอาการอะไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโรค ซึ่งอาจต้องตรวจเลือดพิสูจน์ หากพบว่าเป็นโรคหัดเยอรมันแพทย์อาจพิจารณาให้ยุติการตั้งครรภ์ค่ะ สำหรับทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือสงสัยว่าติดเชื้อหัดเยอรมัน แพทย์จะตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่หลังคลอดและนัดเด็กมาตรวจเป็นระยะๆ เพราะอาการบางอย่างอาจปรากฏเมื่อเด็กอายุมากขึ้นค่ะ

การป้องกันโรคหัดเยอรมัน โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อ 2 ขวบครึ่ง แต่ถ้าเริ่มฉีดเข็มแรกตอนโตก็ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นค่ะ และผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตรในกรณีที่ไม่เคยฉีดวัคซีน ควรฉีดวัคซีนในระยะที่มีประจำเดือนพร้อมกับคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อป้องกันโอกาสที่วัคซีนจะทำให้ทารกติดเชื้อได้ รวมถึงการหลีกเลี่ยงในการคลุกคลี หรือใช้สิ่งของเครื่องใช้กับผู้ป่วยซึ่งเสี่ยงต่อการรับเชื้อมาได้โดยง่ายค่ะ

แม้ว่าโรคหัดเยอรมันจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่มักพบได้บ่อยในทารกและเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกเข้ารับวัคซีนให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ค่ะ